เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับภัยคุกคามจากทรัมป์ 2.0

แฟ้มภาพ - โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก พบกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในงานประชุม G20 Summit 2019 ที่ประเทศญี่ปุ่น
แฟ้มภาพ - โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก พบกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในงานประชุม G20 Summit 2019 ที่ประเทศญี่ปุ่น (ภาพโดย Kevin Lamarque/REUTERS)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

เพียงไม่ช้าไม่นาน หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็แสดงให้เห็นว่า ตนเองพร้อมที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ต่อทั้งโลกได้อย่างไร ด้วยการข่มขู่ว่า จะปรับขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรในหลาย ๆ ด้าน ตามที่เคยพูดถึงเอาไว้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าทั้งหมดอีก 10% หรือการปรับเพิ่มอีก 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดา และเม็กซิโก และการปรับขึ้น 60% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน เป็นต้น

ขณะที่ทั้งโลกไม่มีทางรู้ได้ว่า สิ่งที่ทรัมป์พูดจะเกิดขึ้นจริงตามนั้นหรือไม่ หรือเป็นเพียงโวหารข่มขู่ ที่อาจไม่จริงจังแค่เพียงหวังผลในการเจรจาต่อรองเท่านั้น บรรดานักวิเคราะห์และนักวิชาการด้านการค้า พากันตั้งข้อสังเกตว่า ในบรรดาคำขู่ของทรัมป์ ข้อที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังได้รับการสนับสนุนจากทั้งรีพับลิกัน และเดโมแครต โชคไม่ดีที่ว่า ข้อที่เป็นไปได้มากที่สุดนี้ กลับเป็นข้อที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุดด้วยเช่นกัน

กำแพงภาษีเพื่อกีดกันสินค้าจีนนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ที่น่าสนใจก็คือ อดีตประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ไม่เพียงไม่ได้ยกเลิก แต่กลับขยายกำแพงภาษีที่ว่านี้ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งหลังสุดที่สหรัฐอเมริกาใช้มาตรการนี้ เพื่อกีดกันผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนราว 140 บริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้อุตสาหกรรมชิปของจีนพัฒนา ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการห้ามขายวัตถุดิบสำคัญให้กับสหรัฐ และทำให้บริษัทจำนวนหนึ่ง เลือกที่จะย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนาม และไทย เป็นการหลีกเลี่ยง

สิ่งเดียวกันนี้ได้รับการคาดหมายว่า กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ในขอบเขตและขนาดที่รุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อทรัมป์หวนคืนสู่อำนาจ

นักสังเกตการณ์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า กำแพงภาษีของทรัมป์ 2.0 จะเปลี่ยนไป ไม่จำเพาะเจาะจงไปที่สถานที่ตั้งโรงงานผลิตอีกต่อไป แต่จะยึดถือเอาสัญชาติของบริษัทเป็นสำคัญ

ADVERTISMENT

ผลจากการนี้ก็คือ การเลี่ยงการลงโทษ โดยการย้ายฐานการผลิตจะไม่เป็นผลอีกต่อไป และจะส่งผลให้เกิดการแยกห่วงโซ่การผลิตออกจากกัน ห่วงโซ่การผลิตหนึ่งสำหรับตลาดในสหรัฐและตลาดยุโรป กับอีกห่วงโซ่การผลิตสำหรับป้อนตลาดที่เหลือทั้งหมด ซึ่งหากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น บรรดาบริษัทจีนจะไม่หันมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีอีกต่อไป จะหลงเหลือเพียงแค่บริษัทต่างชาติที่ลงทุนอยู่ในจีนเท่านั้นที่จะย้ายฐานมายังภูมิภาคนี้

ปัญหาจะยิ่งซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หากจีนไม่พอใจต่อมาตรการทรัมป์ 2.0 และประกาศใช้มาตรการตอบโต้ในระดับพอ ๆ กัน ซึ่งอาจนำไปสู่การแยกห่วงโซ่การผลิตเพิ่มมากยิ่งขึ้น คำถามสำคัญที่จะเกิดขึ้นตามมาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งภูมิภาคต้องเผชิญก็คือ ห่วงโซ่การผลิตที่แยกออกไปใหม่นี้ มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติหรือไม่

ADVERTISMENT

หากต้องกันเอาประเทศสำคัญอย่างจีนออกไป ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ สินค้าบางประเภท (ที่ตกเป็นเป้าถูกกีดกัน) ไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตออกมาก็ไม่ได้คุณภาพอย่างที่ต้องการ หากไม่ใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบจากจีน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้สินแร่หายาก หรือแรร์เอิร์ท เป็นต้น

คำอธิบายเดียวกันนั้น สามารถนำไปใช้ได้เช่นกันกับห่วงโซ่การผลิตใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์ความรู้หรือสิทธิบัตรที่สหรัฐอเมริกา หรือยุโรปถือครองอยู่ อย่างเช่น ในกรณีของชิปประมวลผล เป็นต้น นอกจากนั้น สินค้าที่ผลิตภายใต้กระบวนการนี้ จะมีราคาสูงขึ้นมาก แม้ในความเป็นจริงแล้วจะผลิตภายใต้ห่วงโซ่การผลิตเดียวเท่านั้นก็ตาม

นักวิชาการส่วนหนึ่งระบุว่า สถานการณ์ในยามนี้ หวนกลับไปคล้ายคลึงกับเมื่อครั้งเกิดสงครามการค้าครั้งใหญ่ ในปี 1930 เมื่อสหรัฐตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้ากว่า 900 ตัว ระหว่าง 40-60% ผลลัพธ์ที่ได้ในเวลานั้นคือ ยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงที่เรียกกันว่า “เกรตดีเปรสชั่น” เพราะปริมาณการค้าของโลก หดตัวลงมหาศาลถึง 66%

คำเตือนก็คือ ยังไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ผลลัพธ์ของครั้งนี้จะแตกต่างออกไปจากที่เคยเกิดขึ้นมาในครั้งนั้น