
รู้หรือไม่ว่าในประเทศออสเตรเลียไม่มีเบอร์เกอร์แบรนด์ ‘เบอร์เกอร์คิง’ (Burger King) แต่มีแบรนด์ ‘ฮังกรี้ แจ็ก’ (Hungry Jack’s) ที่หน้าตาเหมือนกันยิ่งกว่าฝาแฝด เพราะจริง ๆ แล้ว ‘ฮังกรี้ แจ็ก’ ก็คือชื่อของ ‘เบอร์เกอร์คิง’ ในออสเตรเลีย
ถึงแม้เรื่องนี้น่าสนใจมาก แต่เราจะไม่เล่าว่าเพราะอะไร ‘เบอร์เกอร์คิง’ ในออสเตรเลีย จึงไม่ใช้ชื่อ ‘เบอร์เกอร์คิง’ เพราะเรื่องมันยาว และเราอยากเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือเรื่องราวของชายผู้เป็นเจ้าของ ‘ฮังกรี้ แจ็ก’ ซึ่งเขาได้รับการเรียกขานว่าเป็น “ราชาฟาสต์ฟู้ดออสเตรเลีย”
เขาคนนั้น คือ แจ็ก โควิน (Jack Cowin) ชายชาวแคนาดาวัย 82 ปี ผู้เป็นเจ้าของ คอมเพตทิทีฟ ฟู้ดส์ ออสเตรเลีย (Competitive Foods Australia) บริษัทธุรกิจฟาสต์ฟู้ดที่มีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 101,125 ล้านบาท) ปัจจุบันถือสิทธิ์ประกอบกิจการแบรนด์เบอร์เกอร์คิง ในชื่อ ‘ฮังกรี้ แจ็ก’ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของ โดมิโน่ส์ พิซซ่า (Domino’s Pizza) ในออสเตรเลีย และยังเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทผลิตเนื้อสัตว์จากพืชที่ชื่อว่า วีทูฟู้ด (v2food)
คำยกย่องว่าเป็น “ราชาฟาสต์ฟู้ดออสเตรเลีย” ที่ แจ็ก โควิน ได้รับนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาร่ำรวยจากการเป็นเจ้ากิจการฟาสต์ฟู้ดหลายแบรนด์ แต่เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น คือ เขาเป็นคนที่นำฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารจานด่วน ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศสหรัฐอเมริกาและทวีปอเมริกาเหนือเข้าไปสู่ประเทศออสเตรเลียเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว โดยเริ่มจากแบรนด์ไก่ทอดเคเอฟซี (Kentucky Fried Chicken: KFC)
แจ็กผู้ ‘ขายเก่ง’ ตั้งแต่เด็ก
แจ็ก โควิน เกิดและเติบโตในประเทศแคนาดา ในตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาทำหลากหลายอาชีพเพื่อหาเงินเอง ทั้งรับจ้างตักหิมะ ส่งหนังสือพิมพ์ และขายการ์ดคริสต์มาส จนกระทั่งอายุราว 20 ปี เขาจึงหันไปขายเบอร์เกอร์แทน
พ่อของแจ็กทำงานเป็นพนักงานของ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (Ford Motor Company) บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ซึ่งจำเป็นต้องย้ายสถานที่ทำงานอยู่บ่อย ๆ โดยที่ไม่สามารถเลือกเองได้ นั่นมีส่วนทำให้โควินตระหนักได้ตั้งแต่อายุยังน้อยว่าเขาต้องการมีอิสระ เขาไม่อยากทำงานเป็นพนักงานบริษัทซึ่งไม่สามารถเลือกได้ว่าจะทำงานอยู่ที่ไหน หรือจะต้องทำอะไรบ้าง
“มีอยู่วันหนึ่ง เขา [พ่อ] ได้รับโทรศัพท์ที่บอกว่า คุณจะไปบราซิลหรือเม็กซิโก หรืออะไรทำนองนั้น …เมื่อคุณทำงานให้บริษัทใหญ่ ๆ บริษัทจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าคุณจะอยู่ที่ไหน และคุณจะต้องทำอะไรบ้าง” โควินกล่าว
เพราะรู้ตัวว่าไม่อยากทำงานเป็นพนักงานบริษัท จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้โควินทำงานหาเงินเองตั้งแต่เด็ก
“ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมไม่เคยต้องขอเงินจากใคร เพราะผมเป็นพนักงานขายตั้งแต่อายุ 8 หรือ 10 ขวบ” โควินกล่าว
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 โควินหาเงินจากการตระเวนขายต้นไม้ให้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเขาเล่าว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากจากการขายต้นไม้ ทำเงินได้มากถึง 8,000 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยสามารถทำเงินได้แค่เพียง 5,000 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น
โควินจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออนแทรีโอ (University of Western Ontario) เมื่อปี 1964 จากนั้นเขาทำงานขายประกันชีวิต ซึ่งเขาบอกว่าตัวเองเก่งมากในอาชีพนี้ และมีชื่อเสียงในหมู่คนทำอาชีพเดียวกันว่า “ขายเก่ง”
ค้นพบโอกาสทองในแดนไกล
ช่วงปลายทศวรรษ 1960 แจ็ก โควิน เริ่มลงหลักปักฐานที่แคนาดากับภรรยาและลูกคนแรก ซึ่งดูเหมือนว่าชีวิตของเขาไม่น่าจะออกเดินทางไกลไปไหนแล้ว แต่วันหนึ่งก็มีจุดเปลี่ยน เมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยมัธยมของเขาซึ่ง ณ เวลานั้นทำงานอยู่ที่บริษัทเคเอฟซีในสหรัฐอเมริกา และจะถูกส่งไปที่ออสเตรเลียเพื่อทำการวิจัยการตลาดว่าเคเอฟซีควรจะขยายธุรกิจไปยังออสเตรเลียหรือไม่
ในเวลานั้น ชีวิตการทำงานของพ่อกลับมามีผลต่อชีวิตของ แจ็ก โควิน อีกครั้ง และมีส่วนเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
“เพราะพ่อของผมทำงานอยู่ที่ออสเตรเลีย และผมเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าออสเตรเลียอยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก เพื่อนของผมโทรหาและบอกผมว่า ‘คุณควรมาที่ออสเตรเลีย คุณควรมาดู’ หลังจากนั้น ผมจึงบินไปออสเตรเลีย”
โควินเดินทางถึงออสเตรเลียในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1969 และใช้เวลา 3 สัปดาห์ในการช่วยเพื่อนของเขาทำการวิจัยตลาด และเขาได้ค้นพบว่า ในออสเตรเลียมีตลาดสำหรับอาหารฟาสต์ฟู้ดอยู่จริง ๆ
ในช่วงนั้นร้านอาหารจานด่วนหลายแบรนด์กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือ แต่สิ่งที่โควินพบในออสเตรเลีย คือ “ธุรกิจร้านอาหารในออสเตรเลียหลัก ๆ เป็นร้านฟิชแอนด์ชิป (ปลาทอดและมันฝรั่งทอด) ร้านอาหารจีน และร้านอาหารที่ปูโต๊ะด้วยผ้าสีขาวหรูหรา”
การค้นพบครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่นำ แจ็ก โควิน ไปสู่การเป็นเจ้าพ่อฟาสต์ฟู้ดแห่งออสเตรเลีย โดยเมื่อจบช่วงเวลาการศึกษาวิจัยตลาด เขาจ่ายเงิน 1,000 ดอลลาร์สำหรับมัดจำการซื้อแฟรนไชส์เคเอฟซี ซึ่งหากเคเอฟซีตัดสินใจทำธุรกิจในออสเตรเลียจริง เบื้องต้นเขาจะได้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้าน 10 สาขา
ปั่นจักรยานออกยืมเงินซื้อแฟรนไชส์ KFC
6 เดือนถัดจากนั้น โควินได้รับสายโทรศัพท์ที่แจ้งว่า บริษัทเคเอฟซีในสหรัฐตกลงจะขยายแฟรนไชส์ไปยังออสเตรเลีย และโควินได้รับโอกาสเป็นเจ้าของแฟรนไชส์สาขาแรก แต่ ณ ขณะนั้นเขาไม่มีเงินทุน ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มระดมทุน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
“ลองจินตนาการดูว่า ถ้าหากมีเด็กคนหนึ่งเข้าไปที่ออฟฟิศของคุณแล้วพูดกับคุณว่าเขาต้องการยืมเงิน 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งอาจจะมีค่าประมาณ 100,000 ดอลลาร์ในปัจจุบันหรือมากกว่านั้น โดยที่เขาไม่ประสบการณ์ในธุรกิจนี้เลย ไม่มีดอกเบี้ยให้แก่เงินที่จะยืม คุณจะทนได้นานแค่ไหนที่จะไม่โยนเด็กคนนั้นออกจากออฟฟิศของคุณ เพราะเขาทำให้คุณเสียเวลา” โควินย้อนความหลังถึงช่วงเวลาที่ตัวเองพยายามระดมทุน
โควินบอกว่า เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือ เขาปั่นจักรยานออกไปขอยืมเงินจากคนทั่วไป
“…มีชาวแคนาดา 30 คนให้ผมยืมเงินคนละ 10,000 ดอลลาร์ ดังนั้นผมจึงมีเงิน 300,000 ดอลลาร์ … ไม่เช่นนั้น ผมคงจะต้องทำงานตักหิมะในแคนาดาต่อไป เพราะในตอนนั้นผมไม่มีเงินเพียงพอ”
นำฟาสต์ฟู้ดไปสู่ออสเตรเลีย
ในที่สุด ช่วงปลายปี 1969 แจ็ก โควิน ก็สามารถจ่ายเงินซื้อแฟรนไชส์เคเอฟซี ในราคา 100,000 ดอลลาร์ เพื่อนำไก่ทอดเคเอฟซีเข้าไปขายในประเทศออสเตรเลีย
เดือนธันวาคม ปี 1969 โควินได้ย้ายครอบครัวไปที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเปิดแฟรนไชส์เคเอฟซีแห่งแรกในออสเตรเลีย ซึ่งเขาบอกว่าได้รับการตอบรับอย่างดีมาก เปรียบเหมือนการขุดเจาะน้ำมันแล้วพบน้ำมันดิบตั้งแต่แหล่งแรกที่เจาะ
เมื่อประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โควินจึงขยายสาขา และขยายธุรกิจโดยซื้อแฟรนไชส์ร้านแฮมเบอร์เกอร์ ‘เบอร์เกอร์คิง’ และร้านพิซซ่า ‘โดมิโน่ส์ พิซซ่า’ แล้วเข้าสู่ธุรกิจการผลิตอาหารอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2013 โควินตัดสินใจขายแฟรนไชส์เคเอฟซีทั้งหมด 55 สาขา ในราคา 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,390 ล้านบาท ณ เวลานั้น ยังไม่ได้ปรับตามเงินเฟ้อเป็นมูลค่าปัจจุบัน) แต่เขายังเหลือแบรนด์อื่น ๆ ในมือ
สนุกกับงานขายตลอดชีวิต
ณ ปลายปี 2024 บริษัทคอมเพตทิทีฟ ฟู้ดส์ ออสเตรเลีย ของเขามีมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 101,125 ล้านบาท) และมีรายได้จากการขาย 2,400 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1,490 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 50,380 ล้านบาท) ซึ่งโควินถือครองหุ้น 98% ของบริษัท ส่วนอีก 2% เป็นของนักลงทุนและผู้ถือหุ้นเดิมที่ให้เขากู้ยืมเงินตั้งแต่ปี 1969
“เงิน 10,000 ดอลลาร์ในตอนเริ่มต้นนั้น มีค่าเท่ากับ 40 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบตามมูลค่าทางบัญชีในปัจจุบัน ดังนั้น ทุกคนได้รับเงินทุนคืนแล้ว และผู้ที่ยังถือหุ้นอยู่ก็มีเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” โควินกล่าว
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความลับในการขาย โควินตอบว่า “ผมคิดว่าความลับของผมคือ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ต้องทำให้ดี … คนที่ให้ผมยืมเงินในตอนนั้นเป็นผู้สนับสนุนผมอย่างแท้จริงในการลงทุน แต่ผมคือคนที่ลงทุนเอง…”
“และสิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกคือ เมื่อคุณไม่สามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างการทำงานกับการเล่นได้ แสดงว่าคุณอยู่ถูกที่ถูกทางแล้ว … ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองทำงานเลยสักวัน เพราะผมสนุกกับมันมาตลอด” ราชาฟาสต์ฟู้ดออสเตรเลียบอก
อ้างอิง :