“เฟด” หมดโอกาสลดดอกเบี้ย หลัง “ทรัมป์” กระหน่ำเก็บภาษี

Trump-Jerome
โดนัลด์ ทรัมป์ และเจอโรม พาวเวลล์ เมื่อปี 2017 (ภาพโดย REUTERS/Carlos Barria)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

เป็นไปตามที่ตลาดและนักลงทุนคาดหมายอย่างกว้างขวาง สำหรับการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นัดแรกของปี 2025 เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา เมื่อคณะกรรมการมีมติเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 4.25-4.5% ถึงแม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ จะออกมากดดันหลายรอบ ต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ยก็ตาม

การตัดสินใจของเฟด สะท้อนให้เห็นความระมัดระวังมากขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทางการเมือง รวมทั้งต้องการดูทิศทางเงินเฟ้อให้ชัดเจนว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยในแถลงการณ์ของเฟดระบุว่า ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง อัตราว่างงานยังต่ำอย่างมีเสถียรภาพในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ส่วนเงินเฟ้อ “ยังสูงอยู่บ้าง” ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยครั้งกว่าเดิมในระยะข้างหน้า

ทางด้าน เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด แถลงภายหลังประชุมว่า ส่วนใหญ่แล้วเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง อัตราว่างงานต่ำเพียง 4.1% จีดีพีช่วงปลายปีที่แล้ว (2024) เติบโตเกิน 3.3% ดังนั้นเฟดจึงไม่รีบร้อนที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย

อย่างไรก็ตาม คำถามของนักข่าวมุ่งความสนใจไปที่ปฏิกิริยาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ต่อเฟด ก่อนหน้านี้หลายครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุด หลังจากทราบผลการตัดสินใจของเฟด ที่ทรัมป์โจมตีว่า “เฟดล้มเหลวในการลดเงินเฟ้อ” ดังนั้นเขาจะทำให้ลดเองด้วยการส่งเสริมการขุดน้ำมันขึ้นมาใช้ ลดกฎระเบียบต่าง ๆ จัดสมดุลการค้าระหว่างประเทศใหม่ และส่งเสริมให้มีการตั้งโรงงานผลิตสินค้าในสหรัฐ ซึ่งเรื่องนี้ประธานเฟดหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวว่าจะไม่มีการตอบสนองหรือแสดงความเห็นใด ๆ ก็ตามเกี่ยวกับสิ่งที่ทรัมป์พูด

เมื่อถามว่าประธานาธิบดี ได้ติดต่อเขาโดยตรงบ้างหรือไม่ พาวเวลล์กล่าวว่า ยังไม่เคยได้รับการติดต่อใด ๆ จากประธานาธิบดี เมื่อถามถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเก็บภาษีสินค้าจากต่างประเทศแบบครอบคลุม การเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ การลดภาษีเงินได้ การผ่อนคลายกฎระเบียบ ประธานเฟดตอบว่า ยังต้องรอดูว่านโยบายใดบ้างของรัฐบาลที่มีการนำมาปฏิบัติจริง จึงยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

พาวเวลล์ยอมรับว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจมีความไม่แน่นอนบางอย่างเพิ่มขึ้นมา เพราะมีการเปลี่ยนนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ 4 เรื่อง คือ การขึ้นหรือเก็บภาษีสินค้านำเข้า การเนรเทศผู้อพยพ นโยบายการคลัง และนโยบายการกำกับดูแล แต่คิดว่าเรื่องนี้คงจะผ่านไป และหลังจากนั้นเราก็จะกลับมาสู่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นเป็นประจำเป็นปกติ

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางคนเห็นว่า หากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ประตูการลดดอกเบี้ยน่าจะปิดลง หากมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจำนวนมากเริ่มมีการบังคับใช้ จะทำให้เงินเฟ้อดีดกลับไปที่ 3% นั่นก็จะทำให้เฟดไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้เลย

เคธี บอสแจนคิก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Nationwide Financial ชี้ว่า คำพูดของประธานเฟดบ่งบอกว่า “จะไม่มีการลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงกลางปี” ขณะที่ก่อนหน้านี้ โกลด์แมน แซกส์ ก็ประเมินในทำนองเดียวกันว่า การลดดอกเบี้ยของปี 2025 จะเกิดขึ้นเพียงสองครั้งในเดือนมิถุนายนและธันวาคม

ADVERTISMENT

โจ บรัสซูลาส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอาร์เอสเอ็ม ระบุว่า เห็นได้ชัดเจนว่าการตัดสินใจของเฟดในปี 2025 จะขึ้นอยู่กับนโยบายการค้าและการเนรเทศผู้อพยพ เพราะนโยบายเหล่านี้อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เป้าหมายของเฟดที่จะกดเงินเฟ้อลงมาที่ระดับ 2% ตกอยู่ในความเสี่ยง

ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากคณะกรรมการมีมติคงดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม ทรัมป์ได้โพสต์ทางโซเชียลมีเดียโจมตี โดยนอกจากจะตำหนิว่าล้มเหลวในการแก้เงินเฟ้อแล้ว เขายังกล่าวหาว่าเฟดทำงานได้แย่เกี่ยวกับกฎระเบียบในการดูแลธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นเขาจะมอบหน้าที่นี้ทั้งหมดให้กับกระทรวงการคลังแทน

ทั้งนี้ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์มีอำนาจตามกฎหมายหรือไม่ที่จะริบอำนาจในการควบคุมดูแลธนาคารพาณิชย์ไปจากเฟด

เฟดจะประชุมครั้งต่อไปเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม ตลาดบางส่วนประเมินว่าเป็นไปได้ที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยเดือนมีนาคม แต่ก็มีโอกาสเพียง 20% เท่านั้น

การที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนไม่อยากให้เฟดรอจนถึงกลางปีค่อยลดดอกเบี้ยตามที่คาดหมายอย่างกว้างขวางก็เพราะเกรงว่า เมื่อทรัมป์เริ่มบังคับใช้การเก็บภาษีสินค้านำเข้าอย่างมากมาย จะทำให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเป็นไปได้น้อย เพราะเงินเฟ้อจะสูงอย่างที่กล่าวข้างต้น