
ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐต้องการจะเข้ายึดครองฉนวนกาซา และเสนอให้ชาวปาเลสไตน์ตั้งถิ่นฐานในประเทศเพื่อนบ้าน ด้านเนทันยาฮูกล่าวว่าทรัมป์คิดนอกกรอบ อย่างไรก็ตาม แผนของทรัมป์ยังขาดรายละเอียดเกี่ยวกับอำนาจในการเข้ายึดครองของสหรัฐ
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า นับเป็นการประกาศที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐต้องการจะเข้ายึดครองฉนวนกาซา ซึ่งเสียหายอย่างหนักจากสงคราม และสหรัฐจะเข้าไปพัฒนาทางเศรษฐกิจ หลังจากชาวปาเลสไตน์ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำลายนโยบายของสหรัฐที่มีต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่ยึดถือมาอย่างยาวนานหลายสิบปี
ทรัมป์ไม่เผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดังกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น
“สหรัฐจะเข้ายึดครองฉนวนกาซา และเราจะเข้าไปดำเนินงานด้วย” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าว “เราจะรับผิดชอบและรื้อถอนระเบิดอันตรายที่ยังไม่ระเบิดและอาวุธอื่น ๆ ทั้งหมดที่ฝังอยู่ในบริเวณนั้น” ทรัมป์กล่าว
“ถ้าจำเป็นเราก็จะทำ เราจะเข้ามาดูแลส่วนนั้น เราจะพัฒนา สร้างงานนับพัน ๆ ตำแหน่ง และมันจะเป็นสิ่งที่ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมดจะสามารถภูมิอกภูมิใจได้อย่างมาก” ทรัมป์กล่าวเสริม
เมื่อถูกถามว่าใครจะอาศัยอยู่ที่นั่น ทรัมป์ระบุว่าอาจเป็นบ้านของประชาชนทั่วโลก ทรัมป์ยกย่องฉนวนกาซาว่ามีศักยภาพที่จะเป็น “ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง” แม้ฉนวนกาซาถูกอิสราเอลโจมตีทางทหารเพื่อตอบโต้ที่ฮามาสโจมตีพื้นที่ทางใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ผลจากสงครามอิสราเอลกับฮามาสได้ทำลายพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง และทรัมป์ยังได้เสนอให้ชาวปาเลสไตน์ไปอยู่อาศัยในประเทศเพื่อนบ้าน
เนทันยาฮูกล่าวว่าทรัมป์คิดนอกกรอบด้วยแนวคิดใหม่ ๆ และแสดงความเต็มใจที่จะแทงทะลุหรือทำลายแนวคิดแบบเดิม ๆ
ทรัมป์ระบุอีกว่า ตนเห็นตำแหน่งแห่งที่ความเป็นเจ้าของในระยะยาว และเห็นว่ามันจะนำมาซึ่งเสถียรภาพอย่างมากให้กับตะวันออกกลาง พร้อมเสริมว่าเขาได้พูดคุยกับผู้นำในภูมิภาคแล้ว และพวกเขาก็สนับสนุนแนวคิดนี้
ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า ตนได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเป็นเวลานานหลายเดือน และระบุว่าเขาจะไปเยือนกาซา แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อใด
การที่สหรัฐเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในเรื่องนี้ ถือเป็นการขัดต่อนโยบายที่มีมาหลายสิบปีของสหรัฐและประชาคมโลก ซึ่งยึดมั่นว่าในท้ายที่สุดแล้วกาซาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ซึ่งรวมถึงเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง รัฐบาลสหรัฐชุดต่อ ๆ มา รวมถึงทรัมป์ในสมัยแรกหลีกเลี่ยงการส่งกองกำลังทหารสหรัฐไปที่กาซา
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศแนะว่าบางครั้งทรัมป์อาจใช้จุดยืนที่รุนแรงเพื่อกำหนดปัจจัยชี้วัดสำหรับการเจรจาในอนาคต โดยเมื่อย้อนไปในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก ทรัมป์ได้ออกนโยบายต่างประเทศที่ถือว่าเกินขอบเขตหลายครั้ง และหลายเรื่องก็ไม่เคยนำไปปฏิบัติจริง