เคสดีที่สุด-เลวร้ายที่สุด เมื่อปูตินตกลงเริ่มเจรจายุติสงครามในยูเครน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในการประชุมสุดยอด G-20 ที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 (ภาพ AP Photo/Evan Vucci )

ประธานาธิบดีทรัมป์เผยผลหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย โดยระบุว่าผู้นำรัสเซียเห็นพ้องที่จะเริ่มเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามยูเครน ทรัมป์ได้มอบหมายทีมเจรจากับฝ่ายรัสเซีย จึงเกิดการคาดการณ์ถึงกรณีที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดของข้อตกลงยุติสงคราม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ หารือทางโทรศัพท์กับวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น โดยเป็นการหารือที่ยาวนานแต่มีประสิทธิผลอย่างยิ่ง โดยทรัมป์ระบุว่า ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องต้องกันถึงความจำเป็นในการยุติการเสียชีวิตในสงครามยูเครน อีกทั้งจะแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน

ประธานาธิบดีทรัมป์แจ้งผลการหารือในโซเชียลทรูธ ระบุว่า เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสองต้องการหยุดยั้งการเสียชีวิตนับล้านที่เกิดขึ้นในสงครามกับรัสเซีย/ยูเครน และเห็นพ้องร่วมกันที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทรัมป์กล่าวว่าตนเองตกลงที่จะไปเยือนรัสเซียและเป็นเจ้าภาพต้อนรับปูตินในสหรัฐ และต่อมาได้พูดคุยกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนเพื่ออัพเดตการสนทนาดังกล่าว ซึ่งในเวลาต่อมา ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า การหารือนัดแรกระหว่างเขากับปูตินอาจเกิดขึ้นที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย

ทรัมป์ได้มอบหมายให้มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (ซีไอเอ) ไมเคิล วอลทซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตพิเศษด้านตะวันออกกลาง เจรจากับฝ่ายรัสเซีย

จากการที่ทรัมป์ได้พูดคุยกับปูตินดังกล่าว โดยฝ่ายปูตินตกลงเริ่มต้นการเจรจาสันติภาพ ขณะที่พีท เฮกเสธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกำลังอธิบายให้พันธมิตรในยุโรปทราบว่า พวกเขาจะต้องแบกรับภาระส่วนใหญ่ในการยุติความขัดแย้งใด ๆ ซึ่งบลูมเบิร์กอีโคโนมิกส์ (Bloomberg Economics) คำนวณว่าการปกป้องยูเครนและการขยายกำลังทหารของชาติยุโรปเองอาจทำให้ชาติมหาอำนาจยุโรปต้องสูญเสียเงินเพิ่มอีก 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 104 ล้านล้านบาท) ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ที่ผ่านมา ผู้นำบางคนและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงหลายคนเตือนว่าหากยุโรปไม่สามารถสร้างมาตรการยับยั้งที่น่าเชื่อถือได้ ปูตินจะเพิ่มความพยายามในการทำให้สหภาพยุโรป (อียู) และพันธมิตรนาโต้อ่อนแอลงหรืออาจถึงขั้นแยกตัวออกจากกันในที่สุด

ADVERTISMENT

ในการประชุมร่วมกับพันธมิตรนาโต้ที่กรุงบรัสเซลส์ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกล่าวว่า การที่ยูเครนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต้ หรือยึดดินแดนที่สูญเสียไปทั้งหมดตั้งแต่ปี 2014 กลับคืนมานั้นเป็นความคิดที่ไม่ตรงกับสภาพจริง นอกจากนี้ สหรัฐจะไม่ส่งทหารร่วมในกองกำลังรักษาสันติภาพใด ๆ

แต่เจ้าหน้าที่ยุโรปกังวลว่า ไม่มีใครในทีมของทรัมป์ที่มีประสบการณ์จริงในการเจรจากับรัสเซีย ทีมของปูตินส่วนใหญ่มีประสบการณ์หลายสิบปีในการรับมือกับสหรัฐและยูเครน อีกทั้งเรียนรู้การทำงานในหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย

ADVERTISMENT

“พวกเขาต้องการใครสักคนที่รู้วิธีเจรจากับรัฐบาลรัสเซีย” ชาร์ลส์ คุปชาน นักวิจัยอาวุโสที่สถาบันคลังสมองสภาว่าด้วยความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงก่อนหน้านี้กับรัสเซียในรัฐบาลโอบามากล่าว “กับดักคือรัสเซียจะจบลงด้วยการเจรจาวกไปวนมา รู้วิธีหลบเลี่ยงทีมเจรจาของทรัมป์ และทรัมป์จะจบลงด้วยการเจรจาข้อตกลงที่แย่ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ข้อตกลงที่แท้จริง” คุปชานกล่าว

กรณีที่ดีที่สุด

สถานการณ์ในอุดมคติสำหรับยูเครนคือ สหรัฐและกลุ่มประเทศยุโรปตกลงที่จะเข้าแทรกแซงหากรัสเซียผิดสัญญาข้อตกลง แต่ความเสี่ยงของการขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซียทำให้แม้แต่ผู้สนับสนุนยูเครนที่กระตือรือร้นที่สุดบางส่วนก็รู้สึกไม่มั่นใจ

ในทางกลับกัน พันธมิตรของยูเครนอาจตกลงที่จะเพิ่มการสนับสนุนทางทหารแก่ยูเครนและบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอีกครั้งหรือเพิ่มความรุนแรงขึ้น พวกเขายังสามารถช่วยให้ยูเครนพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตนเองและสร้างกองกำลังขึ้นมาใหม่เพื่อทำหน้าที่เป็นปัจจัยยับยั้งหลักต่อรัสเซีย

หากสหภาพยุโรปสามารถดำเนินการทั้งหมดนี้ได้ ก็อาจเปิดทางให้ยูเครนเข้าร่วมสหภาพยุโรปได้ บางทีภายในทศวรรษหน้า ซึ่งจะทำให้แนวรบด้านตะวันออกแข็งแกร่งขึ้น และแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นของสหภาพยุโรปในการมีอิทธิพลต่อประเทศต่าง ๆ รอบข้าง

กรณีที่เลวร้ายที่สุด

ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดของยูเครน ทรัมป์อาจสูญเสียความสนใจในอนาคตของยูเครนก่อนที่จะมีการบรรลุข้อตกลงใด ๆ ส่งผลให้ความช่วยเหลือด้านการทหารและการเงินถูกระงับ และปล่อยให้ยุโรปจัดการกับปัญหาเอง

แม้ว่าการมีส่วนร่วมในการเจรจายุติสงครามของทรัมป์กับปูตินจะนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพที่เกิดขึ้นในช่วงแรก แต่ก็อาจทำให้ขั้นตอนต่อไปของสิ่งที่ปูตินอธิบายว่าเป็นสงครามระหว่างนาโต้กับรัสเซีย ล่าช้าลง

ข้อตกลงดังกล่าวจะรักษาอำนาจอธิปไตยของยูเครนและอนุญาตให้ประเทศยูเครนเริ่มการฟื้นฟูได้ แต่ข้อตกลงดังกล่าวอาจทำให้ปูตินได้ประโยชน์อย่างมาก โดยสามารถควบคุมดินแดนยูเครนได้เป็นส่วนใหญ่ และอาจกีดกันไม่ใหรัฐบาลยูเครนเข้าร่วมนาโต้ได้

ชาติบอลติก (ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย) ซึ่งปูตินมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียที่เขาต้องการสร้างขึ้นใหม่ น่าจะมีแนวโน้มตกเป็นเป้าหมายถัดไปมากที่สุด

 

อ้างอิง :

Nikkei Asia

Bloomberg