
ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งให้ทีมเศษฐกิจศึกษาภาษีต่างตอบแทนเพื่อใช้ในการเรียกเก็บภาษีประเทศที่เก็บกับสหรัฐในอัตราที่เท่ากัน และยังสั่งให้ไปสืบหาอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีมาด้วยเพื่อกำหนดมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมต่อไป โดยอาจเรียกเก็บภาษีเร็วสุดในวันที่ 1 เมษายนนี้
รอยเตอร์ (Reuters) และบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐสั่งให้ทีมเศรษฐกิจศึกษาเพื่อวางแผนการเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนหรือแบบตอบโต้ (Reprocical Tariff) กับประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยการบังคับใช้ภาษีอาจมีผลเร็วที่สุดวันที่ 1 เมษายนนี้ นับเป็นความเคลื่อนไหวที่เพิ่มโอกาสสงครามการค้าไม่ว่ากับมิตรหรือศัตรู
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาวว่า ในเรื่องการค้า ตนตัดสินใจจากเหตุผลของความยุติธรรม โดยจะเก็บภาษีนำเข้าต่างตอบแทน ซึ่งหมายความว่าเรียกเก็บภาษีกับประเทศที่เก็บกับสหรัฐ ในอัตราที่ไม่มากกว่าหรือน้อยไปกว่ากัน
ทรัมป์ได้ลงนามในบันทึกการค้า (Memo) สั่งให้ทีมเริ่มคำนวณภาษีเพื่อให้เหมาะสมกับประเทศนั้น ๆ และเพื่อตอบโต้อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี อาทิ กฎความปลอดภัยรถยนต์ที่ยานยนต์สหรัฐออกไปและภาษีมูลค่าเพิ่มที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้นแล้วคำสั่งนี้ไม่ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ แต่กลับเริ่มต้นการสืบสวนที่อาจกินเวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าสหรัฐ โดยคู่ค้ารายอื่น และวางแผนการตอบโต้
เป้าหมายของอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีรวมถึงจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป (อียู) การเก็บภาษีศุลกากรรอบล่าสุดของประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดทำให้เกิดความกลัวต่อสงครามการค้าโลกที่ขยายตัวและคุกคามที่จะเร่งให้เงินเฟ้อของสหรัฐสูงขึ้น
ด้านวอลล์สตรีต ซึ่งวิตกกังวลว่าภาษีศุลกากรอาจเพิ่มอัตราเงินเฟ้อและทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ โล่งใจได้ในขณะนี้ โดยหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของวัน ดัชนีหุ้นทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลง
โฮเวิร์ด ลุตนิก ผู้ซึ่งทรัมป์เลือกให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่ารัฐบาลจะจัดการกับประเทศที่ได้รับผลกระทบทีละประเทศ และกล่าวว่าการศึกษาในประเด็นนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 เมษายน 2025 ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่ทรัมป์กำหนดไว้ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งให้นายลุตนิกและที่ปรึกษาเศรษฐกิจคนอื่น ๆ รายงานแผนการลดความไม่สมดุลทางการค้าเรื้อรังที่ทรัมป์มองว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐถือเป็นการให้เงินอุดหนุนของสหรัฐต่อประเทศอื่น
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ซึ่งให้สัมภาษณ์กับนักข่าวก่อนที่ทรัมป์ลงนามในบันทึกการค้า กล่าวว่ารัฐบาลจะศึกษาประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลมากที่สุดและมีอัตราภาษีศุลกากรสูงที่สุดก่อน
ทรัมป์กล่าวว่าอัตราภาษีศุลกากรจะเท่ากับอัตราภาษีศุลกากรที่สูงกว่าที่เรียกเก็บโดยประเทศอื่น ๆ และเขามีเป้าหมายที่จะต่อต้านกฎระเบียบที่ยุ่งยาก ภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินอุดหนุนของรัฐบาล และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจสร้างอุปสรรคต่อการไหลเวียนของสินค้าสหรัฐสู่ตลาดต่างประเทศ
“พวกเขาไม่ยอมให้เราทำธุรกิจกันอย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ ดังนั้น เราจึงจะต้องกำหนดตัวเลขให้ยุติธรรม เราสามารถกำหนดต้นทุนของอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ตัวเงินเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ” ทรัมป์กล่าว
การประกาศเรียกเก็บภาษีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเร็วที่สุดอาจเป็น 1 เมษายนนั้นดูเหมือนว่าจะมีจุดประสงค์อย่างน้อยบางส่วนเพื่อกระตุ้นการเจรจากับประเทศอื่น ๆ ก่อนถึงกำหนดเส้นตาย เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่าทรัมป์ยินดีลดภาษีศุลกากรหากประเทศอื่น ๆ ลดภาษีศุลกากรของตน ภาษีศุลกากรใหม่นี้จะหลีกเลี่ยงแนวทางแบบ “เหมาเข่ง” สำหรับการจัดเก็บภาษีที่กำหนดเองมากขึ้น แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่ตัดทิ้งภาษีศุลกากรทั่วโลกแบบคงที่ก็ตาม
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กล่าวด้วยว่ากำลังพิจารณาการจัดเก็บภาษีแยกต่างหากสำหรับรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และผลิตภัณฑ์ยา โดยการจัดเก็บภาษีศุลกากรสำหรับรถยนต์จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้