‘สี จิ้นผิง’ กล่าวสนับสนุน ‘แจ็กหม่า’

จอยักษ์แสดงภาพข่าวประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนจับมือกับแจ๊กหม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบาในระหว่างการประชุมสัมมนาภาคธุรกิจระดับซัมมิต ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 (ภาพ REUTERS/Florence Lo)

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนกล่าวสนับสนุนแจ็กหม่า ในฐานะหัวหน้าคณะผู้บริหารภาคเอกชนจีน ในการประชุมสัมมนาภาคธุรกิจที่ส่งสัญญาณสนับสนุนบริษัทเอกชนมากขึ้น ผู้นำจีนสัญญาว่าจะบรรเทาโทษปรับที่มากเกินไป และให้โอกาสแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนเป็นประธานการประชุมร่วมกับแจ็กหม่า ผู้ก่อตั้งร่วมอาลีบาบาและหัวหน้าคณะนักธุรกิจและผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ของจีนในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น โดยส่งสัญญาณถึงการสนับสนุนภาคเอกชนที่ถูกละเลยมาอย่างยาวนาน ซึ่งปัจจุบันถือเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก

ภาพจอใหญ่แสดงสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเข้าร่วมประชุมสัมมนาภาคธุรกิจ เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ (รอยเตอร์)

ผู้ประกอบการจีนที่เข้าร่วมมาจากตัวแทนของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การผลิตชิปและยานยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประชุมสุดยอดครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่อ่อนลงของรัฐบาลจีนต่อบริษัทที่มีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐก็เพิ่มมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจจีนทรุดลงได้

ภาพจากจอใหญ่แสดงสี จิ้นผิง ผู้นำจีนจับมือเหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ (รอยเตอร์)

สื่อของรัฐรายงานผู้ประกอบการที่เข้าร่วมประชุม อาทิ หวาง ซิ่ง ผู้บริหารของ Meituan และเล่ย จุน ผู้บริหารของ Xiaomi Corp. นอกจากนี้ ยังมีหวาง ซิ่งซิ่ง ผู้บริหารของ Unitree ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ตอัพด้านหุ่นยนต์ เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huawei Technologies Co. ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญในความทะเยอทะยานของจีนที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐ โดยสี จิ้นผิง จับมือกับหวาง ผู้บริหารของ Unitree เหริน จากหัวเว่ย และหม่า จากอาลีบาบา

ภาพจากจอใหญ่แสดงเหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และโพนี่ หม่า จากเทนเซนต์เข้าร่วมประชุมสัมมนาภาคธุรกิจ เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ (รอยเตอร์)

สี จิ้นผิง เรียกร้องให้ผู้ก่อตั้งและซีอีโอที่มารวมตัวกันรักษาจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน และมีความเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศ โดยเน้นย้ำว่าความท้าทายที่พวกเขาเผชิญนั้นเป็นเพียง “ชั่วคราว” สี จิ้นผิง สัญญาว่าจะยกเลิกค่าธรรมเนียม หรือค่าปรับที่ไม่สมเหตุสมผลต่อบริษัทเอกชน และสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นข้อร้องเรียนทั่วไปของผู้ประกอบการในระบบที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ โดยในวันเดียวกัน รัฐสภาจีนกล่าวว่าจะทบทวนกฎหมายที่เน้นส่งเสริมเศรษฐกิจภาคเอกชน

“จำเป็นต้องขจัดอุปสรรคทุกประเภทที่ขัดขวางการใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเท่าเทียมกัน และการมีส่วนร่วมอย่างเป็นธรรมในการแข่งขันทางการตลาด อย่างเด็ดขาด” สี จิ้นผิง กล่าวกับบรรดาผู้ประกอบการ

ADVERTISMENT

“ส่งเสริมการเปิดเสรีของสนามการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนิติบุคคลทุกประเภทอย่างเป็นธรรมต่อไป และพยายามอย่างเต็มที่ต่อไปเพื่อแก้ปัญหาการจัดหาเงินทุนที่ยากและมีราคาแพงสำหรับบริษัทเอกชน” ประธานาธิบดีจีนกล่าว

โหยว ชวนมัน อาจารย์อาวุโสของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์สิงคโปร์กล่าวว่า นับเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่จีนสามารถปล่อยออกมาเพื่อเพิ่มความมั่นใจในสังคม การที่สี จิ้นผิง ปรากฏตัวเพื่อพบปะกับบรรดาผู้ประกอบการนั้น เน้นย้ำถึงความสำคัญทางการเมืองของการประชุมครั้งนี้

ADVERTISMENT

“นักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากการประชุม” เซิน เมิ่ง กรรมการธนาคารเพื่อการลงทุนขนาดเล็ก Chanson & Co กล่าวและบอกอีกว่า เป็นเรื่องยากที่ผลของมาตรการเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นชัดเจนภายในระยะเวลาสั้น ๆ

โหย่วกล่าวอีกว่า เป็นนโยบายที่เอื้ออำนวยมากกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบ 180 องศา จีนได้เปลี่ยนจากการกำกับดูแลที่มากเกินไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์และภาคเอกชนก่อนเกิดโควิด-19 ไปเป็นการปล่อยสัญญาณนโยบายเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจภาคเอกชน เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลไปสู่ภาคเอกชน ได้แก่ ความอดทนต่อความเห็นต่าง การปรับปรุง และการส่งเสริมสนับสนุน

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้ เมื่อหม่าเป็นเป้าหมายรายสำคัญที่สุดจากการปราบปรามภาคเอกชนให้อยู่ตามแนวทางของสี จิ้นผิง ในปี 2020 เมื่อทางการได้สร้างความตกตะลึงต่อประชาคมโลกด้วยการทำลายการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ของบริษัท แอนต์ กรุ๊ป (Ant Group) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอาลีบาบา และนับจากนั้น หม่า ซึ่งเป็นคนกล้าพูด กล้าแสดงความเห็นต่อสาธารณชนหายไปจากสายตาประชาชนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งการเข้ามาเข้มงวดต่อภาคธุรกิจของรัฐบาลจีนจุดชนวนให้เกิดแคมเปญยาวนานหลายปีของรัฐบาลที่เข้ามาควบคุมเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่างเข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าควบคุมชนชั้นมหาเศรษฐีของประเทศ และจัดสรรทรัพยากรให้กับสิ่งที่สี จิ้นผิง ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก รวมทั้งความมั่นคงของชาติ และการพึ่งพาตนเองได้ทางเทคโนโลยี

ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าทางการมีแผนจะเปลี่ยนท่าทีต่อภาคเอกชนในระดับมากน้อยเพียงใด หากสี จิ้นผิง แสดงการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จะทำให้ตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน และปลุกเร้าให้บรรดาผู้ประกอบการมีกำลังใจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าทางการจะดำเนินการตามนโยบายที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นหรือไม่