ทรัมป์เตรียมเก็บภาษีรถยนต์ ชิป ยา 25% เร็วสุด 2 เมษาฯ

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะพูดที่มาร์อาลาโกคลับในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ 18 กุมภาพันธ์ 2025 (REUTERS/Kevin Lamarque)

ประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) และยาราว 25% เร็วที่สุด 2 เมษายนนี้

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐน่าจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) และยา ประมาณ 25% โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการโดยเร็วที่สุดในวันที่ 2 เมษายนนี้

หากมีการบังคับใช้ภาษีนำเข้าใหม่นี้ จะทำให้สงครามการค้าของทรัมป์ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ซึ่งกำหนดจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมีนาคม แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของทรัมป์ ถือเป็นความเห็นที่ละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยระบุถึงเซ็กเตอร์อื่น ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากอุปสรรคทางการค้าใหม่

เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่สโมสรมาร์อาลาโกเกี่ยวกับแผนภาษีรถยนต์ว่า อาจจะประกาศเรียกเก็บโดยเร็วที่สุดในวันที่ 2 เมษายน และจะอยู่ที่ประมาณ 25%

เมื่อถูกถามถึงการจัดเก็บภาษียาและเซมิคอนดักเตอร์ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า จะอยู่ตั้งแต่ 25% และสูงกว่านี้ อีกทั้งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งปี ทรัมป์ยังอีกกล่าวว่า เขาต้องการให้เวลาบริษัทต่าง ๆ ที่ตกเป็นเป้าหมาย ก่อนที่จะประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่

ทรัมป์อธิบายว่า เมื่อบริษัทเข้ามาในสหรัฐ และตั้งโรงงานที่สหรัฐจะไม่มีภาษีนำเข้า ทรัมป์จึงอยากให้โอกาส บริษัทเหล่านี้อีกสักหน่อย

ADVERTISMENT

การจัดเก็บภาษีรถยนต์ใหม่จะมีผลครอบคลุมทั่วอุตสาหกรรม รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกขนาดเบาประมาณ 8 ล้านคันที่นำเข้ามาในสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว คิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายยานยนต์ในสหรัฐ ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป เช่น โฟล์คสวาเกน (Volkswagen AG) และบริษัทในเอเชีย เช่น ฮุนได มอเตอร์ (Hyundai Motor Co.) จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากสัดส่วนยอดขายในสหรัฐเป็นการนำเข้ามา

ทรัมป์ไม่ได้ระบุว่ามาตรการดังกล่าวจะกำหนดเป้าหมายไปที่ประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ หรือใช้กับรถยนต์ทั้งหมดที่นำเข้ามาในสหรัฐหรือไม่ นอกจากนี้ยังไม่ชัดเจนว่ารถยนต์ที่ผลิตภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีกับแคนาดาและเม็กซิโกจะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะอุตสาหกรรมหรือไม่ หากมีผลบังคับใช้

ADVERTISMENT