“เลย์ออฟใหญ่” ข้าราชการ “ความเสี่ยงใหญ่” เศรษฐกิจสหรัฐ

Big layoff
Demonstrators rally outside the U.S. Treasury Department after it was reported billionaire Elon Musk, who is heading U.S. President Donald Trump's drive to shrink the federal government, has gained access to Treasury's federal payments system that sends out more than $6 trillion per year in payments on behalf of federal agencies and contains the personal information of millions of Americans, in Washington, U.S., February 4, 2025. REUTERS/Kent Nishimura
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

โจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลออกมาเตือนว่า นโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เสี่ยงจะทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน (Stagflation) ซึ่งเป็นภาวะที่เงินเฟ้อสูง การว่างงานพุ่ง และเศรษฐกิจไม่เติบโต นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า สหรัฐอเมริกากำลังกลายเป็น “สถานที่ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการลงทุน” เพราะเป้าหมายของทรัมป์ที่จะตัดลดการใช้จ่ายของรัฐบาลด้วยการยกเลิกสัญญางานกับผู้รับเหมาต่าง ๆ ทั้งที่มีการเซ็นสัญญากับรัฐบาลไปแล้ว จะทำให้เกิดความกลัวและความเสี่ยงในการทำธุรกิจกับสหรัฐอเมริกา

สติกลิตซ์ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมดเห็นตรงกันว่า การขึ้นหรือการเก็บภาษีศุลกากรจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น “ผมมองเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนว่า เศรษฐกิจจะชะงัก เราจะเห็นเงินเฟ้อสูง แต่เศรษฐกิจกลับอ่อนแอ ผมมองไม่เห็นว่าเศรษฐกิจจะคึกคัก เพราะเศรษฐกิจโลกจะลำบากย่ำแย่อย่างมากจากความไม่แน่นอนที่ทรัมป์สร้างขึ้น”

ก่อนหน้านี้ พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลเช่นกัน แสดงความกังวลคล้ายคลึงกันต่อแผนของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีศุลกากร แต่จะลดภาษีเงินได้ให้กับผู้มีรายได้สูง “คนจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เมื่อปีที่แล้ว กำลังจะถูกต้มตุ๋นอย่างโหดร้าย”

ทั้งนี้ สัปดาห์ก่อน เงินเฟ้อของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3% ทั้งที่ทรัมป์สัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งว่า จะดึงเงินเฟ้อให้ต่ำลงนับแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง

อีกด้านหนึ่ง การเดินหน้าปลดพนักงานรัฐบาลกลาง (ข้าราชการ) จำนวนมากอย่างดุเดือดและรวดเร็ว คล้ายกับการกวาดล้างอะไรสักอย่างแบบรอไม่ได้ ของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมี “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เป็นหัวหน้าทีม กำลังก่อให้เกิดคำถามว่า จะกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างไร ซึ่งก็พบว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญ มีทั้งเห็นว่าจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่บางคนก็เตือนว่า ทำให้เกิด “ความเสี่ยงใหญ่” ต่อเศรษฐกิจ

ในเดือนแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์เร่งลดจำนวนของพนักงานรัฐบาลกลางอย่างรวดเร็ว ทั้งในรูปของเสนอเงินชดเชยเพื่อจูงใจให้ออกและในรูปของการเลิกจ้างหรือไล่ออก ซึ่งมีรายงานว่าจากจำนวนพนักงานรัฐบาลกลาง 2.4 ล้านคน ที่ไม่ใช่พนักงานของกิจการไปรษณีย์หรือทหาร มีผู้รับข้อเสนอจ้างให้ออกไปแล้ว 7.5 หมื่นคน นอกจากนั้นยังมีการไล่ออกพนักงานที่อยู่ระหว่างทดลองงานตามหน่วยงานรัฐบาลทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนหลายแสนคน

ADVERTISMENT

หากถามว่าการลดพนักงานรัฐบาลกลางจำนวนมาก จะช่วยลดขาดดุลงบประมาณได้แค่ไหน นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่าคงช่วยได้เพียงเล็กน้อย เช่นสมมุติว่า หากมีการลดพนักงานลง 10% จากทั้งหมด 2.4 ล้านคน รัฐบาลจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้เพียง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งไม่ถึง 1% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลกลาง ซึ่งอยู่ที่ 6.75 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2024

การลดการใช้จ่ายของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการจัดเก็บภาษีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น หรือปรับเปลี่ยนโครงการใหญ่อย่าง ประกันสังคม การรักษาพยาบาล การทหาร และดอกเบี้ยที่รัฐบาลจ่ายเพื่อชำระหนี้ ซึ่งโครงการเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของรัฐบาลในแต่ละปี

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกัน การไล่ออกพนักงานจำนวนมากก็สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไปด้วย โดยจากการประเมินของ Urban Institute ซึ่งเป็นหน่วยงานถังความคิดในสหรัฐระบุว่า หากรัฐบาลทรัมป์บรรลุเป้าหมายที่จะลดพนักงานรัฐบาลลง 75% อัตราการว่างงานในพื้นที่ที่รัฐบาลกลางมีการจ้างงานมากจะพุ่งทะยาน ตัวอย่าง เช่น ในวอชิงตัน ดี.ซี. อัตราว่างงานจะพุ่งเป็น 9.6% จากปัจจุบัน 2.8%

บรรดาตัวแทนสหภาพแรงงานและนักเศรษฐศาสตร์ออกมาเตือนว่า พนักงานหลายคนที่ถูกไล่ออกด้วยคำสั่งของทรัมป์ในช่วงสัปดาห์ก่อน ล้วนเป็นคนที่ทำงานสำคัญ มีทั้งพนักงานองค์การบริหารการบินแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลการจราจรทางอากาศให้มีความปลอดภัย พนักงานองค์การอาหารและยา ที่ดูแลสูตรอาหารและยาที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก พนักงานสถาบันสุขภาพแห่งชาติที่ดูแลการให้เงินสนับสนุนการวิจัยมะเร็งและโรคอื่น ๆ พนักงานในห้องแล็บของกระทรวงเกษตรที่ทำหน้าที่ควบคุมการแพร่ระบาดไข้หวัดนก และพนักงานกรมสรรพากรที่กำลังทำงานในฤดูกาลเสียภาษี

เอเลน คามาร์ก ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพชี้ว่า การไล่ออกพนักงานจำนวนมากจนทำให้งานบริการรัฐบาลสะดุดอาจส่งผลเสียย้อนกลับไปที่ความพยายามในการประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ตัวอย่าง เช่น การลดจำนวนพนักงานกรมสรรพากรอาจทำให้การคืนเงินภาษีล่าช้า และที่สำคัญอาจทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยลง เพราะการมีพนักงานน้อยลง ทำให้การโกงภาษีทำได้ง่าย เนื่องจากไม่มีกำลังเพียงพอที่จะตรวจจับผู้ที่โกงภาษี

อดัม คามินส์ และ จัสติน เบ็กลีย์ นักเศรษฐศาสตร์มูดีส์ อนาไลติกส์ ระบุว่า หน่วยงานและตำแหน่งงานที่กำลังถูกโละทิ้ง ล้วนมีบทบาทสำคัญยิ่งในการปกป้องสาธารณะ สนับสนุนสวัสดิการสังคม และเพิ่มความต้องการสินค้าของสหรัฐ “มันเพิ่มความไม่แน่นอนมากขึ้นไปอีกให้กับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว”

ในส่วนของอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลทรัมป์ เป็นหัวหอกสำคัญในการ “หั่นงบประมาณ” รัฐบาล จนทำให้คนตกงานจำนวนมากและอาจกระทบต่อสวัสดิการต่าง ๆ ก็มีราคาที่ต้องจ่าย เพราะการเข้ามายุ่งเกี่ยวการเมืองในลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน และพฤติกรรมต่าง ๆ ของเขา จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ได้ส่งผลเสียต่อความนิยมในแบรนด์ของเขา รวมทั้งภาพลักษณ์ของตัวเขาเอง จึงเกิดการต่อต้านเขาขึ้น

กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า Anonymous on Bluesky ได้จัดประท้วงตามโชว์รูมรถยนต์เทสลาทั่วสหรัฐ รวมถึงโชว์รูมหลายแห่งในต่างประเทศ โดยมีข้อความประท้วง อย่างเช่น “ขายทิ้งรถเทสลาของคุณ ขายหุ้นเทสลา ทำให้เทสลาเจ็บปวดคือการหยุดยั้งมัสก์ จะช่วยรักษาชีวิตพวกเราและประชาธิปไตยของเรา หยุดยั้งการรัฐประหารของมัสก์, เทสลาให้เงินสนับสนุนพวกฟาสซิสต์” เป็นต้น

แม้แต่ลูกจ้างของเทสลาเองก็กลัวว่า มัสก์จะทำลายแบรนด์ของบริษัท อย่างที่มีข่าวว่าในการประชุมกันของบรรดาผู้จัดการอาวุโสของเทสลาได้บ่งชี้ว่า เทสลาจะดีกว่านี้ถ้ามัสก์ลาออก

ภาพพจน์ที่ตกต่ำลงของ “เทสลา” ได้ส่งผลเสียแล้วในบางพื้นที่ เช่น ในเยอรมนี ยอดขายเดือนมกราคมมีเพียง 1,277 คัน ลดลง 60% หลังจากมัสก์ไปสนับสนุนพรรคขวาจัดของเยอรมนี จนถูกประณามว่าแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ ส่วนที่ฝรั่งเศสลดลง 63% นอร์เวย์ลดลง 38%