ฟรีดริช แมร์ซ ขึ้นแท่นว่าที่นายกฯเยอรมนี ลั่นพายุโรปออกจากการพึ่งพาสหรัฐ

ฟรีดริช แมร์ซ (ภาพ รอยเตอร์)

ฟรีดริช แมร์ซ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนใหม่ หลังจากพรรค CDU ได้คะแนนนำอันดับ 1 ได้กล่าวปราศรัยโจมตีสหรัฐ โดยวาระงานสำคัญคือนำยุโรปออกจากการพึ่งพาสหรัฐ และคาดว่าการตั้งรัฐบาลผสมเจอความยาก และยาวนานหลายเดือน

รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ฟรีดริช แมร์ซ เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนต่อไป หลังจากฝ่ายค้าน คือพรรค CDU ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมของเขาได้คะแนนอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งก่อนกำหนดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ โดยวางแผนใช้นโยบายทำให้ยุโรปเป็นอิสระจากการพึ่งพาสหรัฐ

แมร์ซ อายุ 69 ปี เตรียมจัดตั้งรัฐบาลพรรคผสมเผชิญกับการเจรจาต่อรองที่ทั้งยากและยาวนาน ซึ่งคาดว่าอาจใช้เวลานานหลายเดือน หลังจากพรรค AfD ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดได้รับคะแนนเพิ่มมากขึ้นครั้งประวัติศาสตร์ ได้คะแนนมากเป็นอันดับที่ 2 ในการเลือกตั้งที่เสียงแตกภายหลังจากรัฐบาลผสมสามพรรคของโอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีล่มเมื่อปลายปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ระบบการเมืองของเยอรมนีเป็นระบบหลายพรรค จึงมักไม่มีพรรคไหนชนะเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด รัฐบาลเยอรมนีจึงมักเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค

ในการเจรจาตั้งรัฐบาลผสม พรรคการเมืองหลักของเยอรมนีรวมถึง CDU ตัดสินใจไม่เข้าร่วมกับพรรค AfD ซึ่งได้รับการรับรองจากบุคคลสำคัญของสหรัฐ รวมถึงอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจพันล้านและพันธมิตรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งมัสก์สนับสนุนพรรคขวาจัดและชาตินิยมพรรคนี้อย่างเปิดเผย

แมร์ซ ซึ่งไม่มีประสบการณ์ทำงานในรัฐบาลมาก่อน เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่างเยอรมนีกำลังประสบปัญหา สังคมแตกแยกจากประเด็นผู้อพยพ และความมั่นคงของประเทศถูกผูกติดอยู่ระหว่างสหรัฐที่ชอบเผชิญหน้า และรัสเซียกับจีนที่แข็งกร้าว

ADVERTISMENT

ในคำกล่าวปราศรัยชัยชนะ แมร์ซโจมตีสหรัฐอย่างตรงไปตรงมา โดยวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นที่เกินเหตุ ที่รัฐบาลสหรัฐแสดงความคิดเห็นระหว่างการหาเสียง โดยเปรียบเทียบว่าเหมือนเป็นการแทรกแซงที่เป็นปฏิปักษ์จากรัสเซียเสียเอง และแม้ในภาพรวมแมร์ซปราศรัยต่อต้านสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวยินดีต่อผลเลือกตั้ง

แมร์ซกล่าวต่อว่า ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐมีท่าทีส่วนใหญ่ที่ไม่แยแสต่อชะตากรรมของยุโรป และว่าวาระงานอันดับต้นของตนคือจะทำให้ยุโรปแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่ยุโรปสามารถเป็นอิสระที่แท้จริงจากสหรัฐ

ADVERTISMENT

ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ หลังจากแคมเปญหาเสียงที่เต็มไปด้วยการโจมตีความรุนแรง ซึ่งมีการจับกุมผู้ก่อเหตุที่มีภูมิหลังเป็นผู้อพยพ พรรคพันธมิตร CDU/CSU ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมได้รับคะแนนโหวตไป 28.5% ตามมาด้วยพรรค AfD ที่ได้ไป 20.5% ซึ่งเป็นผลการคาดการณ์ตามที่สถานีโทรทัศน์ ZDF เผยแพร่เมื่อช่วงดึกของวันอาทิตย์ผ่านมา

พรรค AfD ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากการลงคะแนนครั้งก่อน มองว่าผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

พรรคโซเชียลเดโมแครต หรือ SPD ของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ มีคะแนนเสียงร่วงสู่ระดับที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยได้คะแนนเสียง 16.5% และชอลซ์ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล พรรคกรีนได้คะแนนเสียง 11.8% พรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ FDP มีคะแนนเสียงใกล้ 5% เกณฑ์ที่จะเข้าสู่รัฐสภาได้

และการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุน้อย ทำให้พรรค Die Linke ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายสุดโต่งได้คะแนนเสียง 8.7%

แมร์ซต้องการให้จัดตั้งรัฐบาลพรรคผสมเสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน แต่หากการจัดตั้งรัฐบาลเกิดความล่าช้า อาจทำให้โชลซ์ต้องปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเยอรมนีไปอีกหลายเดือน ส่งผลให้นโยบายที่จำเป็นเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเยอรมนีล่าช้าลง หลังจากหดตัวติดต่อกันสองปี และในยามบริษัทต่าง ๆ ต้องดิ้นรนต่อสู้กับคู่แข่งระดับโลก

สถานะผู้นำแห่งยุโรปก็จะยิ่งว่างเปล่า หรือเกิดสุญญากาศ ในยามที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น ทรัมป์ขู่จะทำสงครามการค้าและพยายามเร่งรัดข้อตกลงหยุดยิงสำหรับยูเครนโดยไม่ให้ยุโรปเข้ามาเกี่ยวข้อง