
ประธานาธิบดีทรัมป์เผยเก็บภาษีแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% เป็นไปตามกำหนดเดิม แม้มีการดำเนินมาตรการความปลอดภัยชายแดนและเฟนทานิล
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐระบุว่า การเรียกเก็บภาษีแคนาดา เม็กซิโก ในอัตรา 25% เป็นไปตามกำหนดเดิม ซึ่งจะมีผลโดยเร็วที่สุดวันที่ 4 มีนาคมนี้ แม้สองประเทศได้ดำเนินมาตรการความปลอดภัยชายแดนและตรวจเข้มการลักลอบนำสารตั้งต้นเฟนทานิลข้ามแดนมากขึ้น ด้านผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายมองว่า กำหนดเส้นตายเก็บภาษีอาจล่าช้าออกไป แต่สาเหตุที่ทรัมป์ยังขู่อยู่ เนื่องจากต้องการทำให้แน่ใจว่า มาตรการรับมือยังดำเนินต่อไป
เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ เวลาท้องถิ่น ในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในโอกาสเยือนสหรัฐ ผู้สื่อข่าวถามทรัมป์ว่า แคนาดาและเม็กซิโกได้ดำเนินการอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่ เพื่อให้ได้รอดพ้นจากภาษีนำเข้าสหรัฐ 25% ซึ่งทรัมป์กล่าวตอบว่า การเรียกเก็บภาษีเป็นไปตามกำหนดเดิม
หลายคนหวังว่า แคนาดา เม็กซิโก คู่ค้ารายใหญ่ 2 รายของสหรัฐจะสามารถโน้มน้าวให้รัฐบาลทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีสินค้านำเข้ามูลค่ากว่า 918,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 30 ล้านล้านบาท) ออกไปอีก ครอบคลุมตั้งแต่สินค้ายานยนต์ไปจนถึงพลังงาน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจอเมริกาเหนือที่บูรณาการเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ
ทรัมป์ไม่ได้ระบุกำหนดเส้นตายเป็นวันที่ 4 มีนาคมอย่างเฉพาะเจาะจง แต่ต่อมาทรัมป์ได้กล่าวถึงความต้องการที่จะขึ้นภาษีต่างตอบแทน หรือแบบตอบโต้ เพื่อให้เท่ากับอัตราภาษีและเพื่อชดเชยอุปสรรคทางการค้าจากทุกประเทศที่เรียกเก็บกับสหรัฐ รวมถึงฝรั่งเศสด้วย
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้สั่งให้รัฐบาลฟื้นการสอบสวนภาษีของประเทศต่าง ๆ ที่เรียกเก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทของสหรัฐอีกครั้ง
ทั้งนี้ แคนาดาและเม็กซิโกได้ดำเนินการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยที่ชายแดน ซึ่งทำให้ทั้งสองประเทศได้รับการผ่อนผันประมาณหนึ่งเดือนจากกำหนดเส้นตายเรียกเก็บภาษี 1 กุมภาพันธ์ของทรัมป์ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ
แดน อุจโซ ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา จากบริษัทกฎหมายทอมป์สัน ไฮน์ ในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ กล่าวว่า การเจรจาเลื่อนกำหนดเส้นตายจะทำให้ภัยคุกคามจากภาษียังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป อย่างน้อยจนกว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่ามาตรการของแคนาดาและเม็กซิโกได้ผล และระบุอีกว่าการดำเนินการของสองประเทศมีความคืบหน้าในด้านความปลอดภัย แต่การคิดว่าภาษีจะถูกยกเลิกทั้งหมดนั้น ถือเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป