
จีนจำเป็นต้องจัดการกับภาวะเหล็กล้นตลาดโดยการลดกำลังการผลิตร้อยละ 15 ในปีนี้ หากโรงงานต้องการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในปี 2025 และกลับมามีกำไรอีกครั้ง
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศสะอาด (Centre for Research on Energy and Clean Air หรือ CREA) ระบุในรายงานเผยแพร่เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ว่า เพื่อให้ผู้ผลิตเหล็กจีนกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง จีนจะต้องลดกำลังการผลิตของเตาหลอมเหล็กลงอย่างน้อย 200 ล้านตันต่อปีจากฐานในปี 2020 ซึ่งกำลังการผลิตที่จะต้องลดลงดังกล่าวเทียบเท่ากับอุตสาหกรรมเหล็กทั้งหมดของสหภาพยุโรป (อียู) อีกทั้งจีนจะต้องกำจัดกำลังการผลิตอีก 150 ล้านตันให้หมดสิ้นไปภายในสิ้นทศวรรษนี้ด้วย
ปัจจุบัน รัฐบาลจีนพยายามควบคุมการผลิตให้ต่ำลงโดยผูกโยงผลผลิตกับการปล่อยมลพิษ แต่ประเทศยังคงผลิตเหล็กมากเกินไป ซึ่งในปี 2024 ทะลุ 1 พันล้านตันเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และภาคส่วนนี้คิดเป็นประมาณ 17% ของการปล่อยก๊าซมลพิษทั้งหมดของจีน และจีนยังพึ่งพาถ่านหินมากเกินไปด้วย
ผู้ผลิตเหล็กได้รับผลกระทบจากการที่รายได้ลดลงอย่างมาก และอุตสาหกรรมเหล็กขาดทุนเกือบทั้งปี 2024 แต่กำลังการผลิตเหล็กส่วนเกินไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นในจีนเท่านั้น การส่งออกเหล็กของจีนได้ทำให้การค้าโลกตึงเครียดรุนแรงขึ้น เนื่องจากได้ส่งออกเหล็กทั่วโลกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีในปี 2024
ปัญหาสภาพอากาศและกำลังการผลิตสามารถแก้ไขได้โดยการลดการใช้เตาหลอมที่ก่อให้เกิดมลพิษสูง อย่างขนานใหญ่ และเร่งการนำเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เช่น เตาเผาแบบอาร์กไฟฟ้า และไฮโดรเจนสีเขียวมาใช้
การผลิตเหล็กโดยใช้เตาเผาแบบอาร์กไฟฟ้าของจีนคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของผลผลิต ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 15% สำหรับปี 2025