Nvidia รายงานผลประกอบการ ชี้ DeepSeek คือโอกาส

เอ็นวิเดีย ดีปซีก ภาพโดย REUTERS/Dado Ruvic
เอ็นวิเดีย ดีปซีก ภาพโดย REUTERS/Dado Ruvic

Nvidia รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2024 รายได้หลักมาจากดาต้าเซ็นเตอร์ ชี้ DeepSeek คือโอกาส

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า เอ็นวิเดีย (Nvidia) รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2024 ที่ออกมาดีแต่ไม่ถึงกับเยี่ยมในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2024 ด้านนักลงทุนไม่ตอบสนองมากนัก เนื่องจากคุ้นชินกับผลประกอบการลักษณะนี้แล้ว

เอ็นวิเดียประมาณการว่าจะมียอดขาย 43,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.45 ล้านล้านบาท) ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้โดยเฉลี่ย 42,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.43 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากสุดถึง 48,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.62 ล้านล้านบาท)

แต่เอ็นวิเดียเตือนว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะน้อยลงเนื่องจากต้องเร่งออกชิปแบล็กเวล (Blackwell) และมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐ ซึ่งหุ้นของเอ็นวิเดียปิดตลาดวันพุธโดยบวกเพิ่ม 3.67%

อุตสาหกรรมเอไอยังมีแนวโน้มที่ไม่แน่นอน นับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน (YTD) หุ้นของเอ็นวิเดียร่วงลง 5.08% จากข้อกังวลที่ว่าจะมีการลงทุนเกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์น้อยลง นอกจากนี้ดีปซีก (DeepSeek) สตาร์ตอัพเอไอจากจีนยังสร้างความสะพรึงอย่างมาก จากต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำ และใช้ขุมพลังชิปเอ็นวิเดียน้อยมาก

กระนั้น ผู้บริหารเอ็นวิเดียก็ย้ำว่าความท้าทายเหล่านั้นจะยิ่งทำให้เอ็นวิเดียจะไม่ได้มีผลประกอบการเปรี้ยงปร้างดังเคย

ADVERTISMENT

เอ็ดเวิร์ด โจนส์ (Edward Jones) นักวิเคราะห์จากโลแกน เพิร์ก (Logan Purk) ระบุในรายงานว่า เอกสารชี้แนะของเอ็นวิเดียออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่ยอดขายชิปแบล็กเวลล่วงหน้าอาจช่วยให้นักลงทุนคลายกังวลได้บ้าง แม้การผลิตจะล่าช้า

เอ็นวิเดียมีรายได้จากการขายชิปแบล็กเวลกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 372,619 ล้านบาท) ในไตรมาส 4/2024 ซึ่งเจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ซีอีโอของเอ็นวิเดียระบุในแถลงการณ์ว่าปริมาณความต้องการชิปแบล็กเวลนั้นน่าประหลาดใจอย่างมาก

ADVERTISMENT

ยอดขายในไตรมาส 4/2024 ทั้งหมดอยู่ที่ 39,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.33 ล้านบาท) สอดคล้องกับประมาณการ สูงกว่าผลประกอบการปี 2023 ทั้งปีที่ 27,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 914,719 ล้านบาท) แสดงให้เห็นการเติบโตที่รวดเร็วของบริษัท

แหล่งรายได้หลักของเอ็นวิเดียมาจากดาต้าเซ็นเตอร์กว่า 35,600 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.20 ล้านดอลลาร์) ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวกับเกมซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นธุรกิจหลักของบริษัทอยู่ที่ 2,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 84,684 ล้านบาท) ส่วนธุรกิจยานยนต์อยู่ที่ 570 ล้านดอลลาร์ (ราว 19,308 ล้านดอลลาร์)

ขณะที่นักลงทุนต่างเป็นกังวลต่อสถานการณ์ดีปซีก เจนเซ่น หวง กลับยกย่องว่าโมเดลดีปซีกเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม และมีการปรับแต่งมาเป็นอย่างดี ซึ่งหวงมองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเอ็นวิเดีย เพราะโมเดลที่มีความสามารถด้านการให้เหตุผล (Reasoning) อย่างดีปซีก อาจต้องใช้พลังการคำนวณที่สูงกว่าปัจจุบันเป็นล้านเท่า