สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เห็นพ้องกันหลังการหารือผ่านทางโทรศัพท์ในวันที่ 7 สิงหาคม ที่จะคว่ำบาตรเกาหลีเหนือขั้นสูงสุด ขณะที่จีนแสดงออกถึงความหวังว่าเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะกลับมาเจรจากันอีกครั้ง
ปาร์ค ซู ฮยุน โฆษกทำเนียบประธานาธิบดี ระบุว่า ระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กินเวลานานนับชั่วโมง นายมุนและทรัมป์ระบุว่า สองชาติจะทำงานร่วมกันในประเด็นเกาหลีเหนือต่อไป โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนหน้ากำหนดการซ้อมรบที่จะมีขึ้นในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่นายมุนระบุด้วยว่าการแสดงให้เกาหลีเหนือเห็นว่าประตูแห่งการเจรจายังคงเปิดอยู่นั้นเป็นสิ่งจำเป็น
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ด้านทำเนียบขาวสหรัฐระบุในแถลงการณ์ว่า ผู้นำสองประเทศยืนยันตรงกันว่าเกาหลีเหนือนั้นเป็นภัยคุกคามร้ายแรงโดยตรงต่อสหรัฐ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศส่วนใหญ่รอบโลก โดยผู้นำสองประเทศมีพันธกรณีต่อการหามาตรการแก้ปัญหาดังกล่าวและเรียกร้องให้ประชาคมโลกดำเนินการในทำนองเดียวกัน
ทั้งนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ก่อนหน้านี้ได้มีมติเอกฉันท์ให้มีมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อกดดันให้เกาหลีเหนือยุติโครงการทดลองนิวเคลียร์ โดยมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวจะส่งผลให้มูลค่าส่งออกของเกาหลีเหนือที่ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ลดลงถึง 1 ใน 3
มติของยูเอ็นเอสซีซึ่งร่างโดยสหรัฐอเมริกามีมาตรการแบนการส่งออกถ่านหิน เหล็ก แร่เหล็ก ตะกั่ว แร่ตะกั่ว อาหารทะเล หลังเกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป 2 ลูก เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้มติยังห้ามไม่ให้เกาหลีเหนือเพิ่มจำนวนแรงงานเกาหลีเหนือที่ทำงานในต่างประเทศ และแบนการร่วมทุนกับเกาหลีเหนือ และแบนการลงทุนใหม่ในการร่วมทุนที่มีอยู่เดิม
ที่มา มติชนออนไลน์