
สตีเฟน โรช อดีตประธานมอร์แกน สแตนลีย์ ชี้ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจจีนอาจไม่เห็นผล หากรัฐบาลจีนไม่สร้างโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคมให้กับผู้คนในประเทศ
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า สตีเฟน โรช (Stephen Roach) นักเศรษฐศาสตร์ อดีตประธานจากมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) กล่าวกับทางบลูมเบิร์กว่า เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอาจไม่ช่วยอะไร หากรัฐบาลไม่สร้างโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม (Social Safety Net) ให้กับผู้คนในประเทศ
สตีเฟน โรช ให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์ก ระหว่างเข้าร่วมฟอรั่มเอเชียโป๋อ๋าว (Boao Forum for Asia) หรือ BFA ว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ มาตรการภาครัฐที่ประกาศออกมาฟังดูเหมือนคำขวัญมากกว่าแผนงานที่ปฏิบัติได้จริง และไม่ได้ทำให้เชื่อมั่นได้เลยว่า รัฐบาลจีนจะสามารถควบคุมการบริโภคไว้ได้อยู่หมัด
สตีเฟน โรช ชี้ว่าครัวเรือนจีนเลือกที่จะออมเงินแทนการใช้จ่าย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอนาคต ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการสาธารณสุข หรือการใช้จ่ายหลังเกษียณ ครัวเรือนจีนกังวลความเป็นอยู่ของตัวเองเมื่อแก่ตัวลง
จีนประกาศผลักดันภาคการบริโภคเป็นเป้าหมายหลักในปี 2025 ในการประชุมสองสภาครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม แสดงให้เห็นว่า ภาคการบริโภค การลงทุน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมมีการเติบโตสูงกว่าประมาณการในช่วงต้นปี ซึ่งส่งสัญญาณถึงความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ หลี่ เฉียง (Li Qiang) นายกรัฐมนตรีจีนพบปะกับผู้นำระดับโลกในงาน China Development Forum เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา และคาดว่ากลุ่มผู้นำเหล่านั้นจะเข้าพบสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีนในวันที่ 28 มีนาคมอีกด้วย ด้านสตีเฟน โรช กล่าวว่า นี่เป็นวิธีการโปรยสเน่ห์ (Charm Offensive) ของจีน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ และเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ผู้นำระดับสูงของจีนพากันดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ หลังการลงทุนในประเทศร่วงต่ำสุดในรอบ 30 ปีเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา และยังเป็นช่วงเวลาก่อนการประกาศมาตรการภาษีแบบตอบโต้ครั้งใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้ ซึ่งสตีเฟน โรช กล่าวว่า สเน่ห์ของจีนอาจจะหมดลงทันที หลังมาตรการภาษีแบบตอบโต้เริ่มขึ้น
ทั้งนี้ สตีเฟน โรช เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับการปกครองของจีนที่มีบทบาทกับฮ่องกงมากเกินไป และชี้ว่าจีนควรปล่อยให้ฮ่องกงได้บริหารจัดการตัวเองเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา