ความ ‘ไม่รู้’ เกี่ยวกับ กำแพงภาษีของ ‘ทรัมป์’

Trump tariffs
U.S. President Donald Trump speaks to members of the media aboard Air Force One before landing in West Palm Beach, Florida, U.S., March 28, 2025. REUTERS/Kevin Lamarque
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐออกมาพูดถึง “แผนเพื่อความเป็นธรรมและสมดุล” (Fair and Reciprocal Plan) ที่ว่ากันว่าถูกออกแบบมาเพื่อลดการเสียเปรียบดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา ตามแผนปฏิบัติการที่ว่านี้ สหรัฐอเมริกาจะประเมิน “ความสัมพันธ์ทางการค้า” กับนานาประเทศใหม่

แล้วจะประกาศขึ้นอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศนั้น ๆ ให้สมดุล หรือสมน้ำสมเนื้อกับอุปสรรคทางการค้าทั้งหมดที่ประเทศนั้น ๆ มีอยู่ในความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยทั้งหมดที่ว่านี้จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายนนี้

ประเด็นสำคัญก็คือ รัฐบาลอเมริกันไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใด ไม่ว่าจะในแง่ที่ว่าการเสียเปรียบทางการค้าที่สหรัฐมีอยู่ต่อประเทศหนึ่ง ๆ นั้น จะคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้อย่างไร ด้วยสูตรหรือวิธีไหน หรือในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ระบุด้วยซ้ำไป ว่าแผนนี้จะถูกนำไปดำเนินการกับประเทศใดบ้าง สร้างความสับสนและปั่นป่วนให้เกิดขึ้นจากความ “ไม่รู้” ข้อเท็จจริงของแผนปฏิบัติการที่ว่านี้ขึ้นทั่วไปในระบบการค้าโลก

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของทรัมป์ ก็แสดงออกมาให้เห็นเป็นนัยว่า การดำเนินการตามแผนนี้จะเป็นการสะท้อนถึงเหตุปัจจัยทั้งหมดของแต่ละประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐอเมริกา นำมารวมกันสำหรับใช้เป็นฐานในการกำหนดการตอบโต้ ตั้งแต่ปัจจัยในเรื่องภาษีอากรสำหรับสินค้าขาเข้าของประเทศนั้น ๆ, ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ประเทศนั้น ๆ เรียกเก็บ, มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้านอกเหนือจากภาษี และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนทางการเงินของแต่ละประเทศ

ในขณะที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังของทรัมป์ก็แย้ม ๆ ว่าที่สหรัฐอเมริกาเน้นเป็นพิเศษก็คือคู่ค้าที่ได้เปรียบทางการค้าต่อสหรัฐอเมริกาอยู่มหาศาลในเวลานี้ ซึ่งคิดแล้วมีสัดส่วนสูงถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของคู่ค้าที่สหรัฐอเมริกามีอยู่ทั้งหมด

ถึงจะมีความ “ไม่รู้” อยู่อีกมากมาย แต่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกกลับเชื่อว่าทรัมป์เอาจริงตามแผนการที่ว่านี้แน่ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมาเป็นระยะ ตั้งแต่ 12 มีนาคม ที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าในหมวดเหล็กและอะลูมิเนียมจากต่างประเทศทั้งหมดเป็น 25% พอถึง 26 มีนาคมก็ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ทั้งหมดที่นำเข้ามาขายในสหรัฐอเมริกาเป็น 25% แถมเมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ทรัมป์แถลงต่อผู้สื่อข่าวเองว่า พอถึง 2 เมษาฯ สินค้าทุกหมวดจะถูกรวมเข้าไว้ในมาตรการทางภาษีศุลกากรแบบสมน้ำสมเนื้อนี้

ADVERTISMENT

นักวิชาการบางคนพยายามขจัดความ “ไม่รู้” ที่ว่านี้ โดยทดลองนำเอาประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าต่อสหรัฐอเมริกามากที่สุด 15 ประเทศ (รวมทั้มาเลเซีย เวียดนาม และไทย) มาคำนวณดู ว่าแต่ละประเทศจะถูกขึ้นภาษีขาเข้าเป็นจำนวนเท่าใด โดยแรกสุดใช้วิธีคำนวณง่าย ๆ จากการที่ประเทศนั้น ๆ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาในปี 2024 เพียงอย่างเดียว

ผลปรากฏว่าในกรณีนี้สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องขึ้นอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากอินเดีย ระหว่าง 3.3% จนถึงสูงสุด 17% เช่นเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็ต้องขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากไทยอีกราว 6 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น

ADVERTISMENT

ในกรณีของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งรัฐบาลอเมริกันของทรัมป์เชื่อว่าเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดุลการค้า ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนี้แต่อย่างใด (แต่มีการเรียกเก็บภาษีจากการขายโดยรัฐบาลท้องถิ่นแต่ละรัฐ) ทั้งนี้ ยังไม่มีใครรู้เช่นกันว่าสหรัฐอเมริกาจะนำภาษีมูลค่าเพิ่มนี้รวมเข้าไปในมาตรการของตัวเองอย่างไร หรือจะใช้วิธีง่าย ๆ เช่น กรณีของอิตาลีซึ่งเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงมากที่ 22% ก็ใช้การขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากอิตาลีอีก 22% หรือเปล่า กรณีเช่นนี้ไทยก็อาจถูกเรียกเก็บภาษีขาเข้าจากสหรัฐอเมริกาอีก 7% นั่นเอง

สิ่งที่ชวนปวดหัวมากที่สุด ก็คือการที่สหรัฐอเมริกานำเอามาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Nontariff Measures) เข้ามารวมอยู่ในการประเมินการโต้ตอบประเทศคู่ค้าอยู่ด้วย เนื่องจากมาตรการเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับการตีความและการบังคับใช้ ดังนั้น แม้ว่าจะมีอยู่ก็ใช่ว่าประเทศนั้น ๆ จะบังคับใช้กับสินค้าจากสหรัฐอเมริกาทุกครั้งเสมอไป

มาตรการเหล่านี้มี อาทิ มาตรการด้านสุขอนามัย, ข้อกำหนดเชิงเทคนิค, มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด และอื่น ๆ อาทิ การกำหนดโควตา, การกำหนดราคาควบคุม เป็นต้น จนบัดนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าสหรัฐอเมริกาจะใช้วิธีใดมาคำนวณมาตรการเหล่านี้ออกมาในเชิงปริมาณ สำหรับนำไปใช้อ้างอิงในการโต้ตอบทางการค้ากับประเทศคู่กรณี

นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลทรัมป์ยังแสดงให้เห็นว่าต้องการให้แน่ใจด้วย ว่าประเทศคู่ค้าของตนจะไม่ใช้เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนทางการเงินเพื่อการได้เปรียบทางการค้า เช่น การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อทำให้สินค้าออกของตนมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าปกติทั่วไป

นักวิชาการและนักวิเคราะห์โดยทั่วไปเชื่อว่า รัฐบาลทรัมป์จะนำเอาการวิเคราะห์ของกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกามาใช้เป็นเครื่องอ้างอิงในกรณีนี้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอเมริกันได้จัดทำรายงานเรื่องนี้อยู่แล้วเผยแพร่ออกมาปีละ 2 ครั้ง เพื่อดูว่าประเทศคู่ค้าใดบ้างที่ใช้วิธีการนี้ โดยระบุชื่อประเทศไว้ในรายชื่อประเทศที่ต้องถูก “จับตามอง” เพื่อการประเมินอย่างเข้มข้นจากนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน

ข้อวิเคราะห์ต่อไปว่า ประเทศนั้น ๆ ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเอาเปรียบทางการค้าต่อสหรัฐอเมริกา หรือใช้เกณฑ์ในการวิเคราะห์อยู่หลายประการประกอบกัน คือประเทศนั้น ๆ ได้เปรียบดุลการค้าเหนือสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ (เกินกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์หรือไม่), มีดุลบัญชีเดินสะพัดเท่าใด (อย่างน้อย 3% ของจีดีพี), และ/หรือเข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนถี่เพียงใด (อย่างน้อย 8 เดือนต่อปี ที่มูลค่าอย่างน้อยเท่ากับ 2% ของจีดีพี)

รายงานล่าสุดของปี 2024 ไทยไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่ว่านี้ แต่ประเทศอย่าง จีน เยอรมนี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนาม อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังนี้ แต่มีเพียงเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนาม เท่านั้นที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดและได้เปรียบดุลการค้าต่อสหรัฐอเมริกาตามข้อกำหนด ส่วนจีนถูกบวกเพิ่มเข้าไปเพราะได้เปรียบดุลการค้าสูงมาก และไม่มีความโปร่งใสในข้อมูลการแทรกแซงตลาดเงิน คำถามก็คือรัฐบาลทรัมป์จะโต้ตอบประเทศเหล่านี้อย่างไร ขึ้นภาษีแต่ละประเทศอีก 5-10-15 หรือ 20% หรือไม่ ไม่มีใครรู้

กล่าวจนถึงที่สุดแล้ว ทุกคนไม่สามารถวิเคราะห์หรือคาดเดาได้ว่ารัฐบาลทรัมป์จะใช้ข้อมูลเหล่านี้มาประเมินและกำหนดมาตรการทางภาษีเป็นการตอบโต้ได้อย่างไร และมากน้อยแค่ไหน คงได้แต่รอจนถึงวันประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายนนี้ หรืออาจเนิ่นนานกว่านั้น ถึงจะได้รู้ความจริงกันว่าสหรัฐอเมริกาคำนวณอัตราภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บเพิ่มจากนานาชาติอย่างไร และมาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและแต่ละประเทศอย่างไรกันบ้างนั่นเอง