โลก ‘ช็อก’ ภาษี ‘ทรัมป์’ สูงมาก ฟิตช์เตือนเศรษฐกิจเสี่ยงถดถอย

Trump taxes
U.S. President Donald Trump delivers remarks on tariffs in the Rose Garden at the White House in Washington, D.C., U.S., April 2, 2025. REUTERS/Carlos Barria
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐ เปิดแถลงข่าวใหญ่โตเมื่อบ่ายวันที่ 2 เมษายน (2025) ที่ทำเนียบขาว ภายใต้หัวข้อที่ฟังดูเร้าใจว่า Liberation Day หรือ “วันปลดปล่อยให้เป็นอิสระ” ความหมายของทรัมป์ ก็คือที่ผ่านมา อเมริกาถูกประเทศอื่น ๆ เอาเปรียบเรื่องการเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นสาเหตุให้อเมริกาขาดดุลการค้ามหาศาล ดังนั้นอเมริกาภายใต้รัฐบาลของเขาจะไม่ใจดีอีกต่อไป จะเก็บภาษีแบบต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศที่สหรัฐถูกเก็บภาษีสูงและขาดดุล

การแถลงครั้งนี้ ทรัมป์มาพร้อมกับแผ่นชาร์ตขนาดใหญ่ ซึ่งมีรายชื่อประเทศมากกว่า 180 ประเทศ ที่สหรัฐจะจัดเก็บภาษีเพิ่ม พร้อมกับตารางเปรียบเทียบว่าประเทศเหล่านั้นเก็บภาษีจากสหรัฐเท่าไหร่ และสหรัฐจะเก็บเท่าไหร่เพื่อตอบโต้

อย่างเช่น จีน จะถูกเก็บเพิ่มอีก 34% เมื่อรวมกับที่สหรัฐเก็บจากจีนไปแล้ว 20% ก็จะรวมเป็น 54% ลาว 48% เวียดนาม 46% ไทย 36% กัมพูชา 49% บังกลาเทศ 37% ไต้หวัน 32% อินโดนีเซีย 32% ศรีลังกา 44% อินเดีย 26% เกาหลีใต้ 25% ญี่ปุ่น 24% มาเลเซีย 24% สหภาพยุโรป 20%

เฉพาะแคนาดาและเม็กซิโกที่ถูกเก็บภาษี 25% ไปก่อนหน้านี้ จะยังถูกเก็บเหมือนเดิม จนกว่าทรัมป์จะพอใจการแก้ปัญหาสารเสพติดเฟนทานีล และผู้อพยพผิดกฎหมาย

ทรัมป์ระบุว่า อัตราภาษีที่แสดงออกมาเป็นการเก็บเพียงครึ่งเดียว เมื่อเทียบกับที่สหรัฐถูกเก็บ ซึ่งเป็นอัตราที่คำนวณรวมปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษีโดยตรง หรือกำแพงอื่นที่ทรัมป์อ้างว่าประเทศเหล่านั้นใช้เพื่อเอาเปรียบสหรัฐ ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่เขาจะเก็บเพิ่มมากกว่านี้ในอนาคต พร้อมกันนี้ เขายังประกาศเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% กับประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจาก 180 ประเทศดังกล่าวด้วย โดยกลุ่มที่ถูกเก็บขั้นต่ำ 10% มีผลบังคับใช้วันที่ 5 เมษายน กลุ่มที่สูงกว่านี้มีผล 9 เมษายน นับเป็นการเก็บภาษีศุลกากรสูงที่สุดโดยสหรัฐนับจากปี 1930 หรือเกือบ 1 ศตวรรษ

สำหรับสินค้าที่ได้รับการยกเว้นในครั้งนี้ ประกอบด้วย ยา ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์ ไม้ท่อน ทองแท่ง พลังงานและแร่บางอย่างที่ไม่มีในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเก็บในอนาคต ผู้นำสหรัฐป่าวประกาศว่า ผลจากการเก็บภาษีครั้งนี้จะเร่งให้บรรดาผู้ผลิต ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในอเมริกา สร้างงานให้กับคนอเมริกัน สร้างยุคทองรุ่งเรืองให้กับอเมริกา

ADVERTISMENT

อัตราภาษีที่เรียกเก็บสูงลิ่วดังกล่าว สร้างความช็อกให้กับตลาดและทั่วโลก เพราะเดิมตลาดคาดว่าทรัมป์จะเก็บภาษีน้อยกว่าที่ขู่เอาไว้ ไม่น่าจะเก็บเกิน 10-20% ที่สำคัญนอกจากจะเก็บทุกประเทศขั้นต่ำ 10% แล้ว ยังเก็บสูงมากกับบางประเทศที่สหรัฐหมายหัวด้วย อีกทั้งทรัมป์ส่งสัญญาณว่ามีโอกาสจะเก็บเพิ่ม ทำให้มีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงอย่างรุนแรง

ตามการจัดลำดับของซีเอ็นบีซี ประเทศที่ถูกเก็บภาษีแบบ Reciprocal สูงที่สุด (ไม่รวมจีน) ได้แก่ ลาว 48% มาดากัสการ์ 47% เวียดนาม 46% ศรีลังกาและเมียนมา เท่ากันคือ 44% บังกลาเทศ-เซอร์เบีย-บอตสวานา เท่ากันคือ 37% ไทย 36% ไต้หวัน 32% แอฟริกาใต้ 30% ปากีสถาน 29% อินเดีย 26% เกาหลีใต้ 25% ญี่ปุ่นและมาเลเซีย 24% เป็นต้น

ADVERTISMENT

ด้านนักธุรกิจและผู้ประกอบการในสหรัฐชี้ว่า เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะที่ผ่านมาหลังจากทรัมป์ประกาศเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมไปก่อนหน้านี้ ทำให้ต้นทุนสินค้าพวกกระป๋องเครื่องดื่มสูงขึ้นอยู่แล้ว การขึ้นภาษีในครั้งนี้จะกระทบบริษัทเป็นวงกว้าง รวมถึงร้านจำหน่ายสินค้าบริโภคที่จำหน่ายสินค้านำเข้าหลายอย่าง

โจชัว โบลตัน อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทีมงานของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และประธานบริหารของ Business Roundtable ซึ่งเป็นกลุ่มซีอีโอชั้นนำที่ทรงพลังของสหรัฐมากกว่า 200 บริษัท เตือนว่าการเก็บภาษีรอบนี้ จะส่งผลสะท้อนด้านลบกลับมาที่เศรษฐกิจสหรัฐ “การเก็บภาษีศุลกากรกับทุกประเทศตั้งแต่ 10-50% เสี่ยงจะเป็นอันตรายต่อผู้ผลิตอเมริกัน คนงาน ผู้ส่งออก ไปจนถึงครอบครัวคนอเมริกันทั่วไป”

“เมื่อเศรษฐกิจอเมริกาแย่ ก็จะทำให้มีการคงภาษีไว้ในระดับสูงนานขึ้น และยิ่งจะเลวร้ายลงเมื่อถูกประเทศอื่นตอบโต้ ดังนั้น ทั้งสหรัฐและคู่ค้าต้องเจรจาบรรลุข้อตกลงโดยเร็ว เพื่อยกเลิกภาษีเหล่านี้”

แอนโทนี อัลบานีส นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย พันธมิตรสหรัฐ ออกมาประณามทรัมป์ว่า เป็นการขึ้นภาษีอย่างไม่ชอบธรรมที่เก็บภาษีออสเตรเลีย 10% นี่ไม่ใช่การกระทำแบบเพื่อน

“ผมไม่คาดคิดเลยว่าเราจะถูกเก็บ ไม่ชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างถึง Reciprocal Tariffs ถ้าจะอ้างแบบนั้น ภาษีที่เก็บจากเราต้องเป็น 0% ไม่ใช่ 10% การกระทำวันนี้จะทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดความไม่แน่นอน และมันอาจทำให้เราเปลี่ยนความรับรู้ของเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสหรัฐ”

โอลู โซโนลา หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจของฟิตช์ เรทติ้ง ชี้ว่าการขึ้นภาษีศุลกากรอย่างก้าวร้าวครั้งนี้ จะยกระดับภาษีศุลกากรที่สหรัฐเรียกเก็บจากประเทศอื่นจากประมาณ 2.5% ในปี 2024 เป็น 22% สูงกว่าปี 1930 ภายใต้กฎหมาย Smoot-Hawley Tariff ที่เก็บประมาณ 20% ซึ่งในครั้งนั้นทำให้เกิดสงครามการค้าทั่วโลก และซ้ำเติมภาวะ “มหาวิกฤตเศรษฐกิจ” หรือ The Great Depression ให้แย่ลงอีก

“นี่เป็นตัวเปลี่ยนเกม ไม่เพียงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ทั่วโลก หากอัตราภาษียังสูงในระดับนี้เป็นเวลานาน เศรษฐกิจทั่วโลกจะถดถอย”

นักการเมืองจากซีกเดโมแครตระบุว่า รีพับลิกันกำลังบดขยี้เศรษฐกิจอเมริกาอย่างทันทีทันใด และกำลังจะทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย “นี่ไม่ใช่วันปลดปล่อยให้เป็นอิสระ แต่เป็นวันแห่งการถดถอย”

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า กรณีของเวียดนามที่ถูกเก็บภาษีสูงมาก 46% คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ที่ใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น โดยบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนัก ก็อย่างเช่น ไนกี้, อเมริกัน อีเกิล และเวย์แฟร์

ที่ผ่านมาเวียดนามเป็นทางเลือกยอดนิยมของบริษัทเหล่านี้ เพื่อหนีสงครามการค้าสหรัฐ-จีน แต่เมื่อทรัมป์เก็บภาษีเวียดนามก็ทำให้พวกเขาไม่มีทางหนี ซึ่งอาจทำให้รายได้บริษัทลดลงเพราะผู้บริโภคจะซื้อน้อยลงเมื่อราคาขยับขึ้น