TDRI สำรวจทางรอดไทย ในสงครามการค้า

Southeast Asian nations, hit particularly hard by U.S. tariffs, prep for talks with Trump
Cargo ships are loaded with containers as it is docked at the port of Bangkok, in Bangkok, Thailand, April 3, 2025. Thailand, with a tariff rate of 37 per cent imposed by U.S. President Donald Trump, is one of six countries in the Southeast Asian region slapped with much higher-than-expected traffis by the U.S. REUTERS/Athit Perawongmetha
คอลัมน์ : นอกรอบ

หลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% กับประเทศที่ส่งออกทั้งหมด และเก็บเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้นกับราว 60 ประเทศ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุด เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย)

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผอ.วิจัย Economic Intelligence Service (EIS) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงผลกระทบจากการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐ กับประเทศคู่ค้าหลายประเทศ

โดยไทยถูกเพิ่มอัตราภาษีที่ 36% ว่า ผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งโลก เพราะทุกประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐ จะถูกคิดภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 10% ในวันที่ 5 เมษายนนี้ ส่วนประเทศไทยเป็น 1 ใน 60 กว่าประเทศที่ถูกเพิ่มภาษีในอัตราสูงกว่านั้น

โดยในเอกสารทางการของสหรัฐ ระบุไว้ที่ 37% ซึ่งอัตราดังกล่าวจะเริ่มในวันที่ 9 เมษายนนี้ อย่างไรก็ตาม มีบางประเทศในอาเซียนที่ถูกเก็บภาษีในอัตรามากกว่าไทย เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา ส่วนจีนที่ถูกภาษีเพิ่มอีก 34% จากเดิมที่อัตราได้ปรับขึ้น 20% อยู่แล้ว ทำให้จีนถูกเก็บภาษีนำเข้าที่ 54%

ยกตัวอย่างสินค้าส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบหลัก ๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐ สูงอยู่ใน 20 อันดับแรก ซึ่งคิดเป็น 64% ของการส่งออกไปสหรัฐ อย่างเช่น หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ

รวมทั้งส่วนประกอบและชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ไทยมีเม็กซิโกเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐ ซึ่งการขึ้นภาษีครั้งนี้ จะทำให้ไทยต้องจ่ายภาษีนำเข้าที่ 38.5% (รวมกับอัตราเดิมจ่าย 1.5%) ในขณะที่เม็กซิโก จ่ายภาษี 25% เท่านั้น นอกจากนี้การขึ้นภาษีดังกล่าว ยังทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอ รวมทั้งคู่ค้าอื่นของไทยด้วย ดังนั้นคาดว่าปีนี้ส่งออกของไทยจะโตอยู่ที่ 1-2% ขณะที่ปีที่ผ่านมาโตที่ 5.4%

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาคือการประเมินคู่แข่งของไทยที่ผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐ ว่าถูกขึ้นภาษีมากกว่าหรือน้อยกว่าไทย เพราะนั่นหมายถึงโอกาสในการแข่งขันบนสนามที่มีกติกาใหม่ ซึ่งไทยอาจสามารถส่งสินค้าไปทดแทนสินค้าของประเทศอื่น ๆ ที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูงกว่าไทยได้ เพราะปีแรกของการขึ้นภาษี สหรัฐคงไม่สามารถผลิตสินค้าในประเทศมาทดแทนสินค้าได้ทัน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำเข้าอยู่ดี

“เราก็อาจจะมีโอกาสเพิ่มการส่งออกไปสหรัฐ ในสินค้าที่คู่แข่งของไทยถูกขึ้นภาษีมากกว่าเรา เช่น จีน 54% เวียดนาม 46% แต่ไทย 36% ดังนั้นเราอาจสามารถแข่งขันในเรื่องราคาได้ เช่น ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ นี่คือโอกาสของไทยในครั้งนี้ ซึ่งเราเห็นได้จากสมัยทรัมป์ 1 ที่หลังจากที่จีนถูกตั้งกำแพงภาษี สหรัฐก็หันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เช่น ไทย เวียดนาม และไต้หวัน แทนสินค้าจากจีนในตอนนั้น” ดร.กิริฎาระบุ

ADVERTISMENT

นอกจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการส่งออกของไทยแล้ว สินค้านำเข้าน่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากทุกประเทศต้องหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะสินค้าจากจีน และสินค้าประเภทเหล็ก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสหรัฐต้องการให้นานาประเทศ รวมทั้งไทยเจรจาเพิ่มเติมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐมากขึ้นกว่าเดิม แลกกับการขอปรับลดอัตราภาษีนำเข้า เพราะในเอกสารของสหรัฐระบุว่า ทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้หากมีการเจรจา

โดยประเมินว่ามี 3 แนวทางที่ทางสหรัฐต้องการจากไทย คือ 1.อาจขอให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ โดยสินค้าที่ไทยเรียกเก็บสหรัฐสูงกว่าที่สหรัฐเรียกเก็บจากไทยมาก เช่น ไวน์ เบียร์ เนื้อวัว รถยนต์ รวมถึงสินค้าเกษตรหลายชนิด ซึ่งสินค้าเกษตรมีความสำคัญกับประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากเกษตรกรเป็นฐานเสียงหลัก

2.อาจขอให้ไทยเพิ่มโควตานำเข้าสินค้าบางประเภทมากขึ้น เช่น ข้าวโพด และกาแฟ ที่ไทยมีการกำหนดโควตานำเข้า

3.อาจขอให้ไทยลดข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสุขภาพ เช่น ให้ไทยอนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐ ซึ่งไทยกังวลว่ามีสารเร่งเนื้อแดงเกินมาตรฐาน ดังนั้นไทยควรพิจารณาเจรจาเพื่อเปิดตลาดสินค้าที่มีผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยน้อย หรือจะส่งผลดีกับผู้บริโภคในไทยในลำดับแรก นอกจากนี้ สหรัฐอยากให้ประเทศต่าง ๆ มีการไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้นด้วย

ดร.กิริฎากล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นกังวล คือท่าทีของธุรกิจต่างชาติที่ต้องการมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีภาคธุรกิจจากต่างประเทศจำนวนมากที่มาขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และได้รับบัตรส่งเสริมไปแล้วในสองปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้เข้ามาลงทุน เมื่อมีความไม่แน่นอนนี้เกิดขึ้นและไทยถูกขึ้นภาษี 36% บางธุรกิจอาจจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์หลังการเจรจาระหว่างประเทศต่าง ๆ กับสหรัฐ

ขณะที่ภาพรวมทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคด้วยว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทิศทางของเงินเฟ้อและดอกเบี้ยน่าจะเป็นขาลง ธนาคารกลางสหรัฐอาจมีการลดดอกเบี้ยอีก 1-3 ครั้งในปีนี้ เช่นเดียวกับทิศทางดอกเบี้ยของไทยน่าจะลงเช่นเดียวกัน คาดว่า กนง.จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% อีก 1-2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินบาทไทยจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากปีที่แล้ว

รวมถึงเงินที่จะไหลเข้าประเทศเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเพียงเล็กน้อย ทั้งจากการค้า และภาคท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบจะมากที่สุดในอาเซียน เป็นรองเพียงมาเลเซียเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ประเทศที่ค่าเงินถูกกว่าไทยได้เปรียบไทยในการส่งออก

“ต้องยอมรับว่าสงครามการค้าระดับโลกครั้งนี้จะส่งผลกระทบทางลบกับเศรษฐกิจโลก และไทย แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสสำหรับธุรกิจไทย ภาครัฐ และเอกชนไทยจึงต้องร่วมกันลดผลกระทบและบริหารความเสี่ยง รวมถึงใช้โอกาสที่มาในครั้งนี้”