
เวียดนามและกัมพูชาหาทางเจรจาตามที่ฝ่ายสหรัฐได้เปิดโอกาส ‘โต เลิม’ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม หารือทางโทรศัพท์กับ ‘ทรัมป์’ เสนอภาษี 0% ด้าน ‘ฮุน มาเนต’ หั่นภาษีสินค้าสหรัฐเหลือ 5% หลังจากถูกสหรัฐกำหนดภาษีแบบต่างตอบโต้ในอัตราที่สูง
เมื่อวันที่ 4 เมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ และนายโต เลิม เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ถือเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ได้มีการเจรจากันผ่านทางโทรศัพท์หลังจากที่เวียดนามต้องเผชิญกับมาตรการภาษีจากสหรัฐถึง 46% แม้ว่าเวียดนามลดภาษีสินค้าหลายประเภทและประกาศว่าจะซื้อสินค้าจากสหรัฐ เช่น เครื่องบินและสินค้าทางการเกษตร มากขึ้นก็ตามที
หลังจากการหารือ ทรัมป์เปิดเผยผ่านบัญชีทรูธโซเซียลส่วนตัวว่า ตนเพิ่งจะเสร็จสิ้นการพูดคุยที่ดีเยี่ยมกับนายโต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยได้รับการเสนอว่าจะลดภาษีสินค้าสหรัฐเหลือ 0% หากสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ พร้อมกล่าวว่า “ผมขอขอบคุณนายโต เลิม แทนประเทศของเขา ผมยังได้บอกเขาอีกว่าตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะพบกันในอนาคตอันใกล้นี้”
ด้านนายโต เลิมยืนยันการเจรจาที่เกิดขึ้นดังกล่าวและได้ให้สัญญาว่าจะลดอัตราภาษีสินค้าจากสหรัฐ โดยรัฐบาลเวียดนามระบุว่า ในขณะเดียวกัน เลขาธิการฯ โต เลิม เสนอให้สหรัฐใช้อัตราภาษีเดียวกันกับสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากเวียดนามด้วย พร้อมเปิดเผยว่า ผู้นำสองประเทศตกลงที่จะพูดคุยกันต่อไปในข้อตกลงทวิภาคีเรื่องอัตราภาษี ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบรับคำเชิญในการเยือนเวียดนามเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเผชิญกับอัตราภาษีสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 49% กล่าวถึงประธานาธิบดีทรัมป์ผ่านหนังสือ ซึ่งตนได้เผยแพร่เผยเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “กัมพูชามุ่งมั่นในการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยจะลดอัตราภาษีศุลกากรสินค้า 19 รายการที่มีอัตราเดิมสูงสุดอยู่ที่ 35% เหลือเพียง 5%” พร้อมระบุอีกว่า ได้สั่งการให้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับผู้แทนการค้าสหรัฐในเรื่องนี้ด้วย
จากรายงานของขแมร์ ไทม์ส (Khmer Times) ระบุว่าสินค้าที่ลดภาษีเหลือ 5 % รวมถึงเนื้อวัว ข้าวโพด ถั่ว รถจักรยานยนต์ วิสกี้
นายฮุน มาเนตเน้นย้ำว่า กัมพูชายังคงให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะส่งผลประโยชน์อันเป็นรูปธรรมแก่สหรัฐและกัมพูชา รวมถึงประชาชนของทั้งสองประเทศด้วย
ที่มา มติชน