เกม Trade War มะกัน-จีน ใครถือไพ่เหนือกว่า

เพิ่มความตึงเครียดขึ้นไปอีกระดับ สำหรับเกมสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน สองยักษ์ใหญ่เศรษฐกิจโลก เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีคำสั่งล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนระลอกใหม่มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มอีก 10% หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มิ.ย. สหรัฐได้ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลวันที่ 6 ก.ค.นี้

การเก็บภาษี 10% สินค้านำเข้าจากจีนอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ เกิดขึ้นหลังจากจีนได้ตอบโต้สหรัฐทันควันด้วยการเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐ 25% มีผลวันที่ 6 ก.ค.เช่นกัน ทั้งนี้ยังไม่มีใครทำนายได้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มดีกรีการตอบโต้ไปถึงระดับใด

แน่นอนว่าศึกครั้งนี้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อทั้งสองประเทศและทั้งโลก โดยบรรดานักวิเคราะห์จากสถาบันหลัก ๆ เช่น ยูบีเอส กรุ๊ป เอจี ประเมินว่าการเก็บภาษีสินค้าจากจีนรอบแรก 5 หมื่นล้านดอลลาร์ อาจทำให้เศรษฐกิจจีนปีนี้หายไป 0.1% และหากทรัมป์เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ เศรษฐกิจจีนจะหายไป 0.3-0.5% ส่วนดอยช์แบงก์ระบุว่า หากอเมริกาเก็บภาษีสินค้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ จะทำให้จีดีพีของจีนลดไป 0.2-0.3% ในระยะ 12 เดือนแรกนับจากวันที่จัดเก็บจริง

ฟากสหรัฐอเมริกา นักวิเคราะห์หลายคนชี้ตรงกันว่า “แอปเปิล อิงก์” เจ้าของผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่างไอโฟน ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในโลก เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ มีความเสี่ยงจะได้รับความเสียหายมากที่สุด เพราะรายได้เกือบ 20% ของแอปเปิลมาจากจีน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.47 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ แอปเปิลยังต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์จากเอเชียอย่างมาก เพราะไอโฟนถูกประกอบในจีน โดยบริษัทฟอกซ์คอนน์ของไต้หวัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจีนอาจเล่นงานซัพพลายเออร์ของไอโฟนเป็นการตอบโต้

“ทีรีซา บาร์เจอร์” ซีอีโอตลาดเกิดใหม่ของกองทุนคาร์ติคา แมเนจเมนต์เห็นว่า การเปิดสงครามครั้งนี้จะทำให้บริษัทอเมริกันไม่สามารถเพิ่มการส่งออกไปจีนได้เมื่อโรงงานต่าง ๆ ผลิตเต็มกำลังและเข้าใกล้สภาวะที่จะไม่มีใครตกงาน ศึกครั้งนี้สหรัฐอาจจะอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ แต่แท้จริงแล้วดูเหมือนจีนจะถือไพ่เหนือกว่า เพราะแต่ละปีจีนส่งออกทั่วโลกมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ส่งออกไปสหรัฐประมาณ 4-5 แสนล้านดอลลาร์

แม้สหรัฐจะเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน แต่จีนมีตลาดอื่น ๆ ให้ส่งออกอีกมาก โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ซึ่งกำลังร่ำรวยขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้จีนยังเจาะเข้าไปในตลาดละตินอเมริกาและแอฟริกาผ่านโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล

บาร์เจอร์ระบุว่า ขณะที่พฤติกรรมของสหรัฐมุ่งสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองเพื่อรองรับการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ โดยไม่ได้มีวิสัยทัศน์ว่าจะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาคึกคักอย่างไรในระยะยาว 20 ปีข้างหน้า แต่ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีน มองการณ์ไกลเพื่อสร้างความเป็นผู้นำโลกด้วยการพึ่งพาตัวเองทางเทคโนโลยี เห็นได้จากขณะนี้จีนกำลังผงาดขึ้นเป็นผู้นำโลกด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ

ดังนั้นการกล่าวหาว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญา (ไอพี) ของสหรัฐ จนเป็นสาเหตุหลักหนึ่งที่นำมาสู่การเล่นงานจีนครั้งนี้ จึงแทบจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อจีน เพราะจีนกำลังก้าวมาอยู่ในจุดที่อยากจะปกป้องไอพีของตัวเอง มากกว่าที่จะขโมยไอพีของชาติอื่น


อย่างไรก็ตาม หากฟังความเห็นจากลอยด์ แบลงค์เฟน ซีอีโอของโกลด์แมน แซกส์ กรุ๊ป ที่น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่รู้เส้นสนกลในการเมือง ก็เบาใจ เพราะเขาบอกว่า การขู่ของทรัมป์เป็นกลยุทธ์ต่อรอง มากกว่าจะสร้างหายนะจริง ๆ เพื่อแสดงให้คู่เจรจาเห็นว่ามีอำนาจเพียงใด ดังนั้นสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบจึงน่าจะหลีกเลี่ยงได้