ทำไม ‘สี จิ้นผิง’ ไม่ ‘หมอบ’ ใน ‘ศึกภาษี’ กับโดนัลด์ ทรัมป์

Chinese President Xi Jinping visits Vietnam
Chinese President Xi Jinping waves as he arrives for a two-day state visit, at Hanoi's Noi Bai International Airport, Vietnam, April 14, 2025. REUTERS/Athit Perawongmetha/Pool TPX IMAGES OF THE DAY
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

ศึกภาษีในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ถือได้ว่าดุเดือดที่สุดชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน เกิดขึ้นในยุคที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 ยังไม่นับที่เขาประกาศเก็บภาษีกับทุกประเทศในอัตราขั้นต่ำ 10% และเก็บสูงกว่านี้กับประเทศที่เขาเห็นว่าสหรัฐขาดดุลการค้าด้วยในอัตรา 10-50% กว่า ๆ ไม่เว้นแม้แต่มิตรประเทศของสหรัฐ

เพียงไม่กี่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีจากจีน 20% ต่อมาวันที่ 2 เมษายน เป็นวันที่ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่จะจัดเก็บทุกประเทศแบบไม่มียกเว้น

ทรัมป์ประกาศว่า สำหรับกลุ่มประเทศที่ถูกเก็บในอัตราสูงกว่า 10% การเก็บภาษีจะมีผลบังคับวันที่ 9 เมษายน ดังนั้น ในระหว่างนี้ประเทศต่าง ๆ ต้องรีบติดต่อมายังสหรัฐเพื่อเสนอ “ดีล” งาม ๆ ให้กับสหรัฐแลกกับการจะไม่ถูกเก็บภาษีโหด ๆ พร้อมย้ำกับประเทศเหล่านั้นว่า “ห้ามตอบโต้” ซึ่งช่วงก่อนถึงวันที่ 9 เมษายนนั้น ทรัมป์และทีมงานอ้างว่ามีหลายสิบประเทศติดต่อมาแล้วเพื่อเจรจา

แต่พอถึงเส้นตาย 9 เมษายนจริง ๆ ทรัมป์ก็เซอร์ไพรส์อีก ด้วยการประกาศ “ระงับ” การเก็บภาษี Reciprocal Tariffs กับประเทศต่าง ๆ ที่ “ไม่ตอบโต้” เป็นเวลา 90 วัน แต่จะเก็บเพียงภาษีพื้นฐาน 10% อ้างว่าเพื่อให้เวลาประเทศเหล่านั้นมีเวลาเตรียมตัวสำหรับการเจรจา

ส่วนจีนนั้นเป็นประเทศเดียว (และอาจเป็นประเทศที่สหรัฐรอคอยมากที่สุด) ไม่ได้ติดต่อมาเพื่อเจรจา ถือว่าแข็งข้อ ทำให้ทรัมป์ประกาศเพิ่มภาษีกับจีนอีก 50% เมื่อรวมกับของเดิม 54% ทำให้รวมแล้วเป็น 104% ฝ่ายจีนได้ตอบโต้กลับมาทำให้สหรัฐจะถูกเก็บ 84% มีผลวันที่ 10 เมษายน

จากนั้นฝ่ายสหรัฐตอบโต้กลับไปอีกเป็น 125% และ 145% โดยที่จีนประกาศเก็บตอบโต้ที่ 125% เมื่อวันที่ 11 เมษายน โดยจีนประกาศว่าจะไม่ขึ้นภาษีกับสหรัฐไปมากกว่านี้แล้ว และไม่สนใจหากสหรัฐจะขึ้นไปอีก เพราะถ้าสหรัฐขึ้นไปอีกก็จะกลายเป็น “เรื่องตลก” ในเวทีเศรษฐกิจโลก

ADVERTISMENT

ความกลับไปกลับมาของทรัมป์ยังเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 11 เมษายน เมื่อเขาออกประกาศยกเว้นภาษีสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกหลายรายการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวอ้างว่าเพื่อให้เวลาบริษัทเทคโนโลยีมีเวลาเตรียมตัวในการย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐ

เกมบีบจีนที่สหรัฐใช้ถูกหลายคนเรียกว่าเป็น Game of Chicken หากเปรียบเป็นการขับรถที่ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากัน โดยที่พร้อมจะชนประสานงา ถ้าใครยอมหลบก่อนก็จะถูกมองว่าขี้ขลาด ซึ่งในเกมชนิดนี้ “ฉากทัศน์” มี 3 อย่างคือ 1.ต่างคนต่างเข้าปะทะกัน ไม่มีใครยอมหลบ ผลลัพธ์คือบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตทั้งคู่ 2.ฝ่ายหนึ่งยอมหักหลบ จะเป็นฝ่ายแพ้ 3.ต่างคนต่างหักหลบ ทุกคนปลอดภัย “วิน-วิน” ทั้งคู่

ADVERTISMENT

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า เหตุที่ผู้นำจีนไม่ยอมอ่อนข้อให้ทรัมป์ เป็นเพราะต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นว่าจีนสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจได้ดีกว่า และไม่ต้องการให้ประชาชนเห็นว่าเขาอ่อนแอ

จูด บล็องเชตต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย RAND China Research Center ระบุว่า กลยุทธ์สงครามการค้าของทรัมป์เป็นสิ่งที่ผู้นำจีนเตรียมตัวรับมือมาหลายปี ด้วยการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ การแตกหักทางการค้าเป็นสิ่งที่จีนคาดไว้อยู่แล้ว ดังนั้น จีนจะไม่เจรจา

หากถามว่าการปะทะกันครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่าย “กะพริบตา” ก่อน นีล โทมัส นักวิชาการด้านการเมืองแห่งสถาบันนโยบายสังคมเอเชียชี้ว่า ในตอนนี้ดูเหมือน สี จิ้นผิง กำลังคิดคำนวณว่าจีนสามารถทนทานต่อความเสียหาย และสุดท้ายแล้วสหรัฐจะเป็นฝ่ายกะพริบตาก่อน เพราะผู้นำจีนมองว่าประเทศต่าง ๆ อยากทำธุรกิจกับสหรัฐน้อยลง เพราะภาษีสร้างความไม่แน่นอน และจะผลักให้ประเทศเหล่านั้นเข้าหาจีนแทน

“จีนสามารถตอบโต้อย่างรุนแรงในระดับ ‘นิวเคลียร์’ ด้วยการแบนส่งออกแร่หายากไปให้สหรัฐ ซึ่งหมายถึงการชัตดาวน์ซัพพลายเชนด้านเทคโนโลยีทั้งหมด ซึ่งจะทำลายเศรษฐกิจสหรัฐอย่างรุนแรง”

ด้านบล็องเชตต์เห็นว่า ทั้งสหรัฐและจีนต่างเห็นว่าตัวเองมีจุดแข็งเหนือกว่า ฝ่ายทรัมป์เห็นว่าจีนพึ่งพาการส่งออกมาก ดังนั้น จึงเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจเหนือกว่าในการกดดันให้จีนยอมสยบ ส่วนจีนเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐภายใต้ทรัมป์อ่อนแอลง และยังเอาตัวออกห่างจากประเทศพันธมิตร

สกอตต์ เคนเนดี้ ที่ปรึกษาอาวุโสศูนย์ศึกษากลยุทธ์ระหว่างประเทศชี้ว่า ทางจีนเชื่อว่าทรัมป์ “กะพริบตา” เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ประกาศ “ระงับ” การเก็บภาษีชั่วคราว 90 วัน ซึ่งจีนเห็นว่านี่คือความอ่อนแอของทรัมป์ และจีนก็จะรอดูต่อไป

สื่อสหรัฐรายงานว่า หลังจากประกาศเก็บภาษีเพิ่มกับจีน ทรัมป์เฝ้ารอโทรศัพท์จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยทีมงานของทรัมป์แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนว่า ประธานาธิบดีจีนต้องเป็นฝ่าย “ร้องขอ” เพื่อโทรศัพท์มาหาทรัมป์ แต่สิ่งที่ได้คือ นอกจากจีนจะตอบโต้ด้วยภาษีแล้ว ก็ยังไม่มีการร้องขอเพื่อ โทร.หาทรัมป์แต่ประการใด

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว 2 คนบอกกับซีเอ็นเอ็นว่า สหรัฐจะไม่เป็นฝ่ายติดต่อไปยังจีนก่อน เพราะทรัมป์ได้บอกกับทีมงานว่าจีนต้องเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาก่อน เพราะจีนเป็นฝ่ายเลือกที่จะใช้วิธีตอบโต้และขยายศึกการค้า ซึ่งทรัมป์แสดงจุดยืนนี้มาประมาณ 2 เดือนแล้ว แต่ฝ่ายจีนปฏิเสธ

เบื้องหลังฉากนั้น ช่องทางการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายยังคงทำงานอยู่ จีนได้พยายามจะจัดช่องทางสื่อสาร “ประตูหลัง” โดยจะให้หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นตัวแทนเจรจา แต่ทีมงานทรัมป์อ้างว่า หวัง อี้ ไม่ใกล้ชิดกับ สี จิ้นผิง เพียงพอ และไม่สามารถไว้ใจได้

แดนนี่ รัสเซลล์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐกล่าวว่า กุญแจสำคัญสำหรับทีมงานฝ่ายจีนก็คือ พวกเขาต้องแน่ใจว่าจะไม่ส่งผู้นำของตนมาให้ถูกโจมตี โดยเฉพาะหลังจากเกิดกรณีประธานาธิบดียูเครน “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี้” ถูกทรัมป์และทีมงานรุมตำหนิรุนแรงต่อหน้าสื่อ

รัสเซลล์ชี้ว่า สี จิ้นผิง อยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งกว่ามากในการโน้มน้าวให้ชาวจีนดูดซับความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดจากภาษีของสหรัฐ

ผู้นำจีนเงียบมาโดยตลอด เพิ่งพูดครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 เมษายน แต่เป็นการกล่าวกับนายกรัฐมนตรีสเปน ที่เดินทางไปเยือนจีน ว่าจีนไม่กลัวการกดขี่ใด ๆ เพราะพึ่งพาตัวเองมากว่า 70 ปี การพัฒนาของจีนเกิดจากการพึ่งพาตนเองและทำงานหนัก