เหล็กจีนต่ำมาตรฐานระบาด ไล่ไม่ไปในฟิลิปปินส์

เหล็กจีน

เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์ตั้งอยู่บนแนววงแหวนแห่งไฟในมหาสมุทรแปซิฟิก หมายถึงพื้นที่ที่มักเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด สิ่งที่ประเทศนี้ไม่ต้องการก็คือการนำเหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้ในการก่อสร้างทั้งที่กำลังดำเนินการอยู่และรวมถึงในอนาคต เพื่อป้องกันภัยพิบัติครั้งใหญ่

เหตุการณ์สะพานถล่มในจังหวัดอิซาเบลล่า ก่อนตึกสตง. หลังใหม่ของไทยถล่มเพียงไม่กี่วันและการเปิดเผยว่าปัญหาเหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐาน ยังคงเป็นปัญหาของประเทศเรื่อยมาจนถึงปี 2025 หลังจากเหล็กเส้นต่ำมาตรฐานเป็นหัวข้อที่ต้องติดตามในเอกสารไวท์เปเปอร์ของกรมการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์ (DTI) ตั้งแต่ปี 2019 ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องเรียนรู้บทเรียนจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเมียนมาและกรุงเทพเมื่อ 28 มีนาคมที่ผ่านมา

ข้อมูลที่ได้จากงานแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่กรุงมะนิลา โรแบร์โต โคล่า อดีตประธานสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งฟิลิปปินส์ (PISI) และเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโลหะ (MIRDC) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (DOST) ได้รายงานว่า เหล็กเส้นคุณภาพต่ำที่ถูกห้ามใช้ในบางประเทศยังคงตกค้างอยู่ในโรงงานผลิตเหล็กในฟิลิปปินส์

เหล็กเส้นเหล่านี้เป็นเหล็กเส้นที่ผลิตโดยโรงงานที่ใช้เตาเหนี่ยวนำแบบช่อง หรือเตาอินดักชั่น (Induction Furnace-IF) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อมานานแล้วว่าไม่ได้มาตรฐานและอาจเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของอาคาร โคล่าเน้นย้ำว่าเหล็กเส้นที่ผลิตโดยเตา IF ยังคงแพร่หลายในตลาดฟิลิปปินส์

ฟิลิปปินส์มีกำลังการผลิตเหล็กจากเตา IF เพิ่มขึ้นจากที่น้อยกว่า 150,000 ตันต่อปีในปี 2017  เป็นประมาณ 3 ล้านตันในปัจจุบัน

นายโรนัลด์ ซี. แม็กซาโจ ประธานสมาคมเหล็กและเหล็กกล้าฟิลิปปินส์ (PISI) กล่าวว่า สมาคมเหล็กและเหล็กกล้าไทยได้แจ้งต่อทางสมาคมฯว่า ทางการไทยพบว่าอาคารสตง.ที่ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวนั้นสร้างโดยโรงงานที่ใช้เตาแบบ IF และโรงงานอื่นๆ อีก 10 แห่งที่ใช้กระบวนการผลิตเดียวกันนี้ก็ถูกปิดตัวลงในไทยเช่นกัน

ADVERTISMENT

โคล่ากล่าวต่อว่าการป้องกันสามารถเริ่มต้นได้จากการดำเนินการตรวจสอบกระบวนการของโรงงานผลิตเหล็กทั่วประเทศ เพื่อคัดแยกเหล็กเส้นที่ผลิตจากเตาแบบ IF ออกไป

“รัฐบาลควรเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายนี้ในระดับตัวแทนจำหน่ายหรือแม้แต่ในคลังสินค้าและศูนย์จำหน่าย เพราะคนส่วนใหญ่ซื้อของจากที่นั่น นั่นคือสิ่งที่เราเน้นย้ำอยู่เสมอ เราต้องตรวจสอบร้านฮาร์ดแวร์เหล่านี้” โคล่ากล่าว

ปลายทางทิ้งเหล็กคุณภาพต่ำ

โคล่า อดีตประธานสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งฟิลิปปินส์ (PISI) กล่าวว่า ในปี 2017 รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์นโยบายห้ามโรงงานเตาอินดักชั่นผลิตเหล็กเกรดก่อสร้าง จากนั้นรัฐบาลจีนก็ดำเนินการบังคับใช้นโยบายดังกล่าวและโรงงานเตาอินดักชั่นทั้งหมดที่ผลิตเหล็กต่ำมาตรฐานก็ถูกปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ในเดือนมิถุนายน 2019

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าฝ่ายที่ไร้ยางอายบางฝ่ายจะหาทางทิ้งเหล็กกล้าต่ำมาตรฐานในประเทศอื่น เช่น ฟิลิปปินส์ ดังนั้นในปี 2019 กรมการค้าฯจึงได้เผยแพร่รายงานการติดตาม ซึ่งระบุสถานที่ที่เหล็กกล้าคุณภาพต่ำจากโรงงาน IF แพร่หลาย ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเหล็กกล่าวว่า การใช้เตาแบบ IF ในการผลิตเหล็กนั้นถูกห้ามใช้ในญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และไทยแล้ว

รายงานของเดลี ทรีบูน หนังสือพิมพ์ในฟิลิปปินส์ระบุว่า กิจกรรมก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนส่งผลให้มีการนำเข้าวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน  กรมการค้าฯ ระบุว่าได้เพิ่มความพยายามเพื่อป้องกันการขายวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานในตลาดฟิลิปปินส์

“เราจะเสริมสร้างความพยายามในการต่อต้านวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน…ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานภายใต้สำนักงานบังคับใช้การค้าที่เป็นธรรม เราได้ประชุมกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และฉันได้ขอให้พวกเขาเสนอแนวคิดอื่นๆ เพื่อที่เราจะได้จับกุม (ผู้ขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน) ได้” นางมาเรีย คริสตินา โรเก้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์กล่าว

โรเก้เน้นย้ำว่ากองกำลังพิเศษคาลาซาก (ชีลด์) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2024 เพื่อต่อต้านสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน จะมีบทบาทนำในการปราบปรามเหล็กต่ำมาตรฐาน โดยเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หน่วยงานพิเศษแห่งนี้ได้ยึดเหล็กและวัสดุอื่นๆ ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จำนวน 20,815 หน่วย มูลค่า 1.44 ล้านเปโซ (ราว 840,000 บาท)

ตี้ เถียว กัง

หากย้อนดู จีนมีประวัติปราบ “เหล็กคุณภาพต่ำ” หรือ 地条钢  (dì tiáo gāng อ่านว่า ตี้ เถียว กัง) เดิมชื่อนี้มาจากเหล็กกล้าคุณภาพต่ำที่หล่อเย็นในแม่พิมพ์ยาวโดยตรงบนพื้นดินโดยไม่ผ่านการหล่อต่อเนื่องและการรีดโดยตรง ปัจจุบันคำนี้ในความหมายทั่วไปหมายถึงผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตได้ไม่ดี โดยมากมักผลิตในโรงงานขนาดเล็ก ผลิตจากเศษเหล็กและเหล็กกล้าที่หลอมละลาย ทำให้ยากต่อการควบคุมองค์ประกอบทางเคมีและคุณภาพ

แม้ว่าจะไม่มีตัวเลขเหล็กต่ำกว่ามาตรฐานอย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคาดว่ากำลังการผลิตเหล็กต่ำมาตรฐานในจีนจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านตัน รัฐบาลจีนตั้งเป้าที่จะกำจัดเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2017 ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อคุณภาพการก่อสร้างและสิ่งแวดล้อม โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดกำลังการผลิตเหล็กโดยรวมด้วย

สมาคมเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศจีน (China Iron and Steel Association หรือ CISA) เป็นองค์กรระดับชาติของอุตสาหกรรมเหล็กจีน ระบุในเว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์จีนว่า สมาคมฯทำงานภายใต้แนวทาง กฎ และนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาลและบริษัทต่างๆ และปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กของจีนอย่างต่อเนื่องในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมระดับสูงของจีนกล่าวระหว่างการประชุมกลางปีของสมาคมฯว่า จีนจะเร่งความพยายามในการควบคุมผลผลิตเหล็กกล้าที่ไม่เป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กกล้าที่ไม่ได้มาตรฐานและก่อให้เกิดมลพิษ เพื่อจำกัดความเสี่ยงจากกำลังการผลิตที่มากเกินไปและส่งเสริมการพัฒนาเหล็กที่มีคุณภาพสูงในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า

“ขณะที่การรณรงค์ลดกำลังการผลิตส่วนเกินที่ทวีความรุนแรงขึ้นประกอบกับความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงของกำลังการผลิตใหม่ที่ผิดกฎหมายก็เริ่มเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากปรากฏการณ์ที่บริษัทเหล็กบางแห่งใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อสร้างกำลังการผลิตใหม่ และการผลิตเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานเกิดขึ้นซ้ำอีก” หวัง เว่ย หัวหน้าแผนกวัตถุดิบของกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจีนกล่าว

อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของจีนได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดล่วงหน้าก่อนกำหนดถึง 2 ปีในการลดกำลังการผลิตส่วนเกินที่กำหนดไว้ในแผนฉบับที่ 13 (2016-2020) โดยลดกำลังการผลิตเหล็กดิบ 150 ล้านตัน และยกเลิกกำลังการผลิตเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน 140 ล้านตัน อ้างอิงข้อมูลจากนายหวัง

ตลาดอาเซียนติดท็อป

แผนภูมิวงกลมแสดงตลาดส่งออกเหล็กของจีน 10 อันดับแรกในปี 2024

ข้อมูลจากหน่วยงานการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐระบุว่า จีนเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2024 จีนส่งออก 114.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4 เปอร์เซนต์ จาก 92.3 ล้านตันในปี 2023 โดยตลาดส่งออก 3 ประเทศอันดับแรกได้แก่ เวียดนาม เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย

จีนส่งออกเหล็กไปยัง 221 ประเทศและดินแดน ในปี 2024 โดยมี 10 ประเทศที่จีนส่งออกไปมากที่สุด ซึ่งแต่ละประเทศ จีนส่งออกไปกว่า 3.0 ล้านตัน และรวมกัน 10 ประเทศคิดเป็นสัดส่วน 47.8 เปอร์เซนต์ของการส่งออกเหล็กทั้งหมดของจีนในปี 2024 ซึ่งส่งออกไปเวียดนามนามมากที่สุด 12.7 ล้านตัน ตามด้วยเกาหลีใต้ 7.1 ล้านตัน อันดับ 3 อินโดนีเซีย 5.9 ล้านตัน ส่วนฟิลิปปินส์อยู่อันดับที่ 5 จำนวน 5.50 ล้านตัน ตามด้วยไทยอยู่อันดับที่ 6 จำนวน  5.3 ล้านตัน

จีนเกินดุลการค้าเหล็กเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2014 โดยนำเข้าลดลง 41.6 เปอร์เซนต์ระหว่างปี 2015 ถึง 2024 ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 25.8 เปอร์เซนต์ และในปี 2024 จีนเกินดุลการค้าเหล็ก 106.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 30.5 เปอร์เซนต์จาก 81.4 ล้านตันในปี 2023

เมื่อ 4 มีนาคม 2025 ทางการจีนประกาศแทรกแซงแก้ปัญหาเหล็กโอเวอร์ซัพพลายครั้งล่าสุด จีนจะปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กยักษ์ใหญ่ ผ่านการลดกำลังการผลิต แต่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายว่าจะลดกำลังการผลิตมากแค่ไหน

การส่งออกเหล็กของจีนจึงพุ่งสูงขึ้นเมื่อปีที่แล้วแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีที่ 111 ล้านตัน ทำให้เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในตลาดต่างประเทศ

ผู้ผลิตเหล็กยักษ์ใหญ่ในจีนกำลังประสบภาวะขาดทุนเนื่องมาจากกำลังการผลิตส่วนเกินในประเทศและความต้องการที่ลดลง ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภาวะซบเซายาวนานของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ซึ่งโดยปกติเป็นลูกค้ารายใหญ่ ตามเอกสารยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ระบุว่า บริษัท Angang หรือ Ansteel ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 4 ของจีนขาดทุนสุทธิ 7 พันล้านหยวน (ราว 31,000 ล้านบาท) ในปี 2024 เมื่อเทียบกับขาดทุน 4.1 พันล้านหยวน (18,000 ล้านบาท) ในปีก่อนหน้า