ว่าที่พระสันตะปาปาองค์ต่อไปจะเป็นใคร ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร ?

Pope Francis, REUTERS/Stefano Rellandini/File Photo

Cardinal Conclave เริ่มต้นแล้ว เพื่อเลือกผู้นำของสมาชิก 1,400 ล้านคนทั่วโลก “พระสันตะปาปา” องค์ต่อไป ที่อาจไม่ใช่ชาวยุโรป ? จะอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่จะชี้ความเคลื่อนไหวทางความเชื่อ และปรากฏการณ์ทางสังคมในอีกหลายปีข้างหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลกยุคใหม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประมุขพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่มีสมาชิกกว่า 1.4 พันล้านคน เป็นหนึ่งในผู้นำโลกที่ทรงอิทธิพลไม่แพ้ผู้นำชาติมหาอำนาจใด โดยเฉพาะเจตจำนงหรือจุดยืนส่วนพระองค์ของพระสันตะปาปาแต่ละองค์นั้นมีผลกระทบอย่างสูงต่อความเคลื่อนไหวทางสังคมในมิติต่าง ๆ สืบเนื่องยาวนานมานับแต่ยุคหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ยุคกลาง และแม้ว่าโลกจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว ศาสนจักรอายุเกือบ 2,000 ปีนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญหลายด้านในโครงสร้างสังคมทั่วโลก

The Conclave พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่อาจไม่ใช่ชาวยุโรป

พระศาสนจักรโรมันคาทอลิก เป็นหนึ่งในองค์ทางศาสนาที่มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก ตลอดระยะเวลา 2,000 ปี ตั้งแต่การหลอมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ การแยกตัว และการรักษาจุดยืนทางสังคม หลังจากการสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการปรับตัวครั้งใหญ่ โอบรับความเชื่อที่หลากหลายทั่วโลก ทำให้ตอบสนองต่อการเติบโตของเสรีภาพที่จะเลือกเชื่อ เลือกนับถือความเชื่อท้องถิ่นจากที่เคยปฏิเสธความเชื่ออื่น ทำให้ตอบสนองต่อการเกิดขึ้นของอุดมการณ์ประชาธิปไตยในประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกอีกหลายประเทศ

หนึ่งในกระบวนการสืบทอดมรดกของพระศาสนจักรยาวนานกว่าพันปี คือ พิธีกรรมเก่าแก่ในการคัดเลือกประมุของค์ใหม่ หรือ The Conclave ซึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้อธิบายวิธีการและขั้นตอนไว้ก่อนหน้านี้

โดยส่วนสำคัญคือ Cardinal หรือพระราชาคณะ ซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดเป็นรองเพียงพระสันตะปาปา และต้องเป็นผู้ที่อายุไม่เกิน 80 ปี ที่จะมีสิทธิเข้าเลือกและรับเลือกตั้งในพิธีดังกล่าว ในห้องปิดตายของโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel)

เราแทบจะไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าใครจะเลือกเขียนชื่อใครในพิธีลึกลับนี้ จนกว่าผลสรุปจะออกจากทางปล่องควัน เป็นสัญญาณควันสีขาว

ADVERTISMENT

แต่จากรายชื่อพระคาร์ดินัล ตามข้อมูลที่เผยแพร่โดยวาติกันในปัจจุบัน มีทั้งหมด 252 คน แบ่งเป็น 3 ส่วน โดย 135 คนเป็นผู้เลือกตั้งพระคาร์ดินัลอายุต่ำกว่า 80 ปี ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 108 คน

รอยเตอร์รายงานว่า พระสันตะปาปาฟรานซิส เป็นบุคคลแรกในรอบ 1,300 ปี ที่ไม่ใช่ชาวยุโรปที่ได้ดำรงตำแหน่งประมุขพระศาสนจักร ซึ่งมีความเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ภายในองค์กรที่แสนลึกลับนี้ เพื่อจะผลักดันตัวเองไม่ให้ชาวยุโรปเป็นศูนย์กลาง โดยพระสันตะปาปาฟรานซิสจัดการประชุม 10 ครั้ง และในแต่ละครั้งพระองค์ทรงเพิ่มโอกาสที่ผู้สืบทอดของเขาจะไม่ใช่ชาวยุโรป และพระองค์ได้แต่งตั้งพระคาร์ดินัลที่จะมีสิทธิเลือกตั้งใน The Conclave ครั้งนี้ 108 คน และได้เสริมสร้างศาสนจักรในสถานที่ที่มีชนกลุ่มน้อยหรือเติบโตเร็วกว่าในตะวันตกที่ซบเซาเป็นส่วนใหญ่

เป็นเวลาหลายศตวรรษที่พระคาร์ดินัลส่วนใหญ่เป็นชาวอิตาเลียน ยกเว้นช่วงเวลาที่สมเด็จพระสันตะปาปา ตั้งอยู่ในอาวิญง (ฝรั่งเศสในปัจจุบัน) เนื่องจากผลการแผ่ขยายอำนาจของจักรวรรดิแฟรงเกีย ระหว่างปี 1309-1377 ทำให้พระสันตะปาปาหลายคนเป็นชาวฝรั่งเศส

ความหลากหลายทางเชื้อชาติของพระคาร์ดินัล เริ่มหลังการสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง และจริงจังภายใต้ ในช่วง ค.ศ. 1963-1978 และเห็นได้ชัดเมื่อจอห์นปอลที่ 2 (1978-2005) ชาวโปแลนด์ซึ่งเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาที่ไม่ใช่ชาวอิตาเลียนคนแรกในรอบ 455 ปี

ในขณะที่พระราชาคณะแห่งยุโรปยังคงมีส่วนแบ่งผู้เลือกตั้งใน The Concalve มากที่สุด โดยมีประมาณ 39% ลดลงจาก 52% ในปี 2013 เมื่อ “ฟรานซิส” กลายเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาองค์แรกที่มีเชื้อสายละตินอเมริกา ซึ่งนับว่ากลุ่มเชื้อสายละตินเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองมาจากเอเชียและโอเชียเนีย โดยมีประมาณ 20% ใน The Conclave

“ฟรานซิส” แต่งตั้งพระคาร์ดินัลมากกว่า 20 คนจากประเทศที่ไม่เคยมีพระคาร์ดินัลมาก่อนเกือบทั้งหมดมาจากประเทศกําลังพัฒนา เช่น รวันดา เคปเวิร์ด ตองกา เมียนมา มองโกเลีย และซูดานใต้ ในที่อื่น ๆ เช่นสหรัฐอเมริกา จะมีการเลี่ยงสังฆมณฑลที่มีอาร์ชบิชอป เป็นผู้นำที่เป็นพวกอนุรักษนิยมสูง เช่น ลอสแองเจลิส และซานฟรานซิสโกอนุรักษนิยม ในขณะที่ผู้นำในสังฆมณฑลต่าง ๆ ที่สำคัญ ที่มีเจตจำนงหรือแนวนโยบายเดียวกันกับฟรานซิส จะเห็นการสนับสนุนอย่างเห็นได้ชัด

มรดกของสมเด็จพระสันตะปาปา-ผลกระทบต่อโลก

ด้วยการที่ประมุขแห่งพระศาสนจักรคาทอลิกมีสมาชิก 1.4 พันล้านคน ข้ามพรมแดน ข้ามวัฒนธรรม และภาษา การสนับสนุนความเคลื่อนไหวทางสังคมในมิติต่าง ๆ มีผลต่อประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วโลก ที่อาจสนับสนุนนโยบายรัฐบาลหรือประณาม ประท้วง ญัตติที่ขัดกับมุมมองและนโยบายของวาติกัน แม้ว่าโลกปัจจุบันจะแยกรัฐและศาสนจักรไปนานหลายร้อยปีแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารากฐานทางความคิดความเชื่อของประชาชนยังได้รับอิทธิพลทางศาสนาอยู่มาก

การดำเนินงานหลายด้าน เช่นการสนับสนุน LGBTQ+ ซึ่งเดิมนั้น ขัดกับหลักการทางศาสนาคริสต์อย่างชัดเจน แต่ก็มีการปรับปรุงแก้ไข ปรับตัว ซึ่งจำต้องมีผู้นำ หรือประมุขที่เห็นชอบไปกับแนวทางทางสังคมอย่างเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือเรื่องความหลากหลายทางเพศที่การเป็นที่ถกเถียงเชิงนโยบายสังคมในวงกว้างทั่วโลกมาหลายสิบปี

“โรเบิร์ต แมคเอลรอย” อาร์ชบิชอปแห่งวอชิงตัน ถูกมองว่าเป็นพันธมิตรที่ก้าวหน้าและตรงไปตรงมาของแนวทางอภิบาลของฟรานซิสในประเด็นทางสังคม เช่น การปกป้องสิ่งแวดล้อม และแนวทางที่เป็นมิตรกับชาวคาทอลิก LGBTQ มากขึ้น ซึ่งทั้ง 2 เรื่องเป็นแนวทางที่ฟรานซิสใช้ขับเคลื่อนนโยบายสังคม

แม้ว่า “ฟรานซิส” จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติของคาทอลิกอย่างสิ้นเชิง แต่ฟรานซิสก็สร้างความประหลาดใจให้กับผู้สังเกตการณ์ทั่วโลก ด้วยความคิดเห็นเกี่ยวกับการรักร่วมเพศ และโทษประหารชีวิต ที่ยอมรับได้มากกว่าพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16

ไม่ว่าพระสันตะปาปาองค์ใหม่จะเลือกที่จะเดินต่อไปในเส้นที่ยอมรับความหลากหลายทางนั้น หรือหันกลับไปสู่การตีความคําสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลแบบแข็งกร้าว ทั้ง 2 เรื่องนี้เห็นจะเป็นคําถามแรก ๆ ที่สังคมโลกยิงตรงถึงวาติกันหลังการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่

ดังนั้นพระคาร์ดินัลที่พระสันตะปาปาแต่งตั้ง ในรัชสมัยของพระองค์ก็เพิ่มความเป็นไปได้ที่ผู้สืบทอดของเขาจะเป็นคนที่มีมุมมองคล้ายคลึงกันเกี่ยวกับศาสนจักรและประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงพระสันตะปาปา 2 พระองค์ก่อน คือ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ได้รับเลือกให้สืบทอดตําแหน่งต่อจาก สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเบเนดิกต์ทํางานร่วมกับจอห์นปอลมา 2 ทศวรรษและพระคาร์ดินัลต้องการความต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าจะเป็นกรณีสืบทอดเพื่อความต่อเนื่องเสมอไป เนื่องจากพระคาร์ดินัลอาจเลือกบุคคลที่แตกต่าง หรือเป็น “คนนอก” ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและภาวะทางสังคมของโลก และพระศาสนจักรเองด้วย

และเมื่อมองสถานการณ์ในโลกปัจจุบันที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เขม็งเกลียว จากหลายมุมของโลก ทั้งแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมก็หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตาไม่น้อยว่า ผู้นำคนใหม่ของ “วาติกัน” ศูนย์กลางอำนาจของพระศาสนจักร จะมีท่าที เจตจำนง และการแสดงออกต่อชาวโลกอย่างไร