
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 อัพเดทใหม่วันที่ 13 พฤษภาคม 2025
ทรัมป์ลงนามคำสั่งประธานาธิบดี ลดราคา ‘ยา’ ในประเทศ หลังราคายาในสหรัฐสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ กว่า 3 เท่า โดยกำหนดเป้าลดสูงสุด 90% ใน 30 วัน
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งประธานาธิบดีในวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 มีผลให้ผู้ผลิตยาต้องลดราคายาลงเหลือเทียบเท่ากับราคายาในประเทศอื่น ๆ ซึ่งนักวิเคราะป์และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายต่างมองว่าปรับใช้จริงได้ยาก
คำสั่งดังกล่าวกำหนดราคาเป้าหมายให้กับผู้ผลิตยาภายใน 30 วัน และจะมีมาตรการเพิ่มเติมหากบริษัทยาเหล่านั้นไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญด้านราคายาต่างมองว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หวาดกลัวไว้ แต่กังขาในวิธีบังคับใช้มากกว่า ราคาหุ้นของบริษัทยาที่เคยร่วงลงก็ฟื้นกลับขึ้นมาในตลาดวันจันทร์แล้ว
ทรัมป์กล่าวแก่ที่ประชุมข่าวว่าจะขึ้นภาษีศุลกากร หากราคายาในสหรัฐยังไม่เท่ากันกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าอยากให้ราคาลดลงประมาณ 59% ถึง 90%
“เพื่อความเท่าเทียม ทุกคนควรจ่ายราคาเดียวกัน”
เนื่องจากว่าค่าใช้จ่ายในการสั่งยาของสหรัฐค่อนข้างสูง ซึ่งแพงกว่าประเทศรายได้สูงอื่น ๆ ถึง 3 เท่า และทรัมป์เคยเสนอกฎหมายดังกล่าวในวาระแรกของการดำรงตำแหน่ง แต่ถูกขวางโดยศาล
ทรัมป์ต้องการที่จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อและบรรเทาราคาข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวอเมริกัน ตั้งแต่ไข่ไก่จนถึงค่าน้ำมัน ตามที่หาเสียงไว้
ที่มาของคำสั่งดังกล่าว ทรัมป์เผยว่าได้สนทนากับเพื่อนผู้ไม่ต้องการเผยตนคนหนึ่ง ซึ่งบอกเขาว่า ปากกาลดน้ำหนัก หรือยาฉีดลิรากลูไทด์ มีราคา 88 ดอลลาร์ (ราว 3,000 บาท) ที่ลอนดอน แต่กลับมีราคา 1,300 ดอลลาร์ (ราว 43,000 บาท) ที่สหรัฐ
ร่างสำเนาของคำสั่งดังกล่าวเผยให้เห็นว่า จะมีมาตรการเพิ่มเติม หากผู้ผลิตยาไม่สามารถทำตามความคาดหวังของรัฐบาลได้ เช่น กำหนดราคายาให้เท่ากับประเทศอื่น ๆ หรือเพิ่มการนำเข้ายาจากประเทศพัฒนาแล้ว และออกข้อจำกัดในการส่งออก
ทั้งนี้ กลุ่มการค้าที่เป็นตัวแทนของบรรดาบริษัทไบโอเทคและเภสัชกรรมต่างออกมาประณามคำสั่งดังกล่าว โดยสตีเฟน อูเบล (Stephen Ubl) ซีอีโอของสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ หรือพรีม่า (Pharmaceutical Research and Manufacturers Association หรือ PReMA) กล่าวว่า การปรับราคาให้เหมือนประเทศสังคมนิยมจะเป็นผลเสียต่อผู้ป่วยและแรงงานชาวอเมริกัน เพราะการรักษาจะน้อยลง และทำให้บริษัทยาหลายแห่งต้องสูญเสียเงินลงทุนกว่าหลายแสนล้านดอลลาร์
สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ราคายาในสหรัฐสูงกว่าที่ใด ๆ อูเบลให้เหตุผลว่าเป็นเพราะประเทศต่าง ๆ ไม่ได้แบกรับภาระต้นทุนอย่างเป็นธรรม ขณะที่พ่อค้าคนกลางผลักภาระราคาไปไว้กับผู้ป่วยชาวสหรัฐ
นอกจากนี้ คำสั่งยังสั่งให้คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (FTC) พิจารณาการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อพฤติกรรมที่ลดทอนการแข่งขันจากเหล่าผู้ผลิตยา
ซึ่งระหว่างการแถลงข่าว มีการสาธิตกลยุทธ์ที่บริษัทยาใช้หลีกเลี่ยงการแข่งขันโดยเจ้าหน้าที่จากทำเนียบขาว เช่น ทำข้อตกลงกับบริษัททั่วไปให้ชะลอการปล่อยตัวยาทางเลือกราคาถูกเข้าสู่ตลาด
การประกาศก่อนลงนาม
ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศในวันที่ 11 พฤษภาคม 2025 ว่าจะลงนามคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อลดราคาใบสั่งยาในสหรัฐลง ให้เป็นระดับเดียวกันกับประเทศรายได้สูงอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งอาจลดลง 30% ถึง 80%
ทรัมป์โพสต์ทรูท โซเชียล จะลงนามคำสั่งประธานาธิบดี ในเช้าวันที่ 12 พฤษภาคม เพื่อบรรลุหลักปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favored-Nation Treatment) หรือก็คือตั้งราคาตามหลักการสากล
“ข้าพเจ้าจะกำหนดนโยบายตามหลักปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง ซึ่งสหรัฐจะจ่ายค่ายาในราคาเดียวกับประเทศที่มีราคาต่ำสุดในโลก”
สหรัฐมีค่าใบสั่งยาที่สูงที่สุดในโลก มากกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เกือบ 3 เท่า ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าต้องการลดระยะห่างลง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดถึงวิธีการใด ๆ เพิ่มเติม
กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ในอุตสาหกรรมยาทั้ง 4 รายกล่าวว่า พวกเขาคาดการณ์ว่าคำสั่งดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปยังโครงการประกันสุขภาพ ‘เมดิแคร์’ (Medicare) ซึ่งรอยเตอร์รายงานก่อนหน้านี้ว่า นโยบายดังกล่าวกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
และกลุ่มผู้ผลิตยายังคาดว่าคำสั่งดังกล่าวจะปรับใช้ให้ครอบคลุมกับยาประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจากประเภทที่อยู่ภายใต้การเจรจากฎหมาย Inflation Reduction Act ของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เนื่องจากเมดิแคร์ได้เจรจาราคายาแล้ว 10 รายการภายใต้กฎหมายดังกล่าว และจะมีการเจรจาราคายาตัวอื่น ๆ เพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้
อเล็กซ์ ชไรเวอร์ (Alex Schriver) โฆษกของสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ หรือพรีม่า (Pharmaceutical Research and Manufacturers Association หรือ PReMA) กลุ่มล็อบบี้บริษัทยาชั้นนำของสหรัฐกล่าวว่า “การกำหนดราคาของรัฐบาลในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม ถือเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับผู้ป่วยชาวอเมริกัน”
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์พยายามปรับระดับราคายาให้เท่ากับประเทศอื่น ๆ ซึ่งทรัมป์เคยเสนอโครงการอ้างอิงราคายาระหว่างประเทศในการดำรงตำแหน่งวาระแรก แต่ถูกศาลสั่งระงับโครงการดังกล่าว ซึ่งถูกเสนอไว้เมื่อ 5 ปีก่อน ที่จะช่วยให้ประชาชนผู้จ่ายภาษีประหยัดเงินกว่า 85,000 ล้านดอลลาร์เป็นเวลาเจ็ดปี และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยารายปีของสหรัฐกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์