
ฮอนด้าถอยแผนลงทุนอีวี พร้อมลดเป้ายอดขายอีวีลง ท่ามกลางยอดขายไฮบริดที่เติบโต
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) ลดขนาดแผนการลงทุน และลดเป้าหมายยอดขายรถอีวี (EV) จากอุปสงค์ที่ยังคงซบเซา และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่อ่อนแอลง ในตลาดประเทศสำคัญ
โทชิฮิโระ มิเบะ (Toshihiro Mibe) ซีอีโอฮอนด้าประกาศว่า ค่ายรถญี่ปุ่นได้มีการปรับลดแผนลงทุนสำหรับรถยนต์อีวีและซอฟต์แวร์ในระยะยาวลง เหลือเพียง 7 ล้านล้านเยน (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) จากเดิมที่เคยประกาศไว้ 10 ล้านล้านเยน (ราว 2.29 ล้านล้านบาท)
มิเบะ กล่าวระหว่างการรายงานแผนธุรกิจประจำปีว่า “ยังไม่ล้มเลิกลงทุนในอีวี แต่ถอยออกมาก่อนเท่านั้น”
ฮอนด้ายังประกาศปรับลดเป้าหมายยอดขายอีวีจนถึงปี 2030 ลงอีกด้วย อิงจากแนวโน้มอุปสงค์ขาลง ตลอดจนความนิยมรถยนต์ไฮบริดที่มากขึ้น ซึ่งมียอดขายคิดเป็น 2.2 ล้านคัน จากยอดขายรถ 3.6 ล้านคันทั่วโลกในปี 2030 เพิ่มจากครั้งก่อน ที่เคยคาดไว้ว่าจะเป็น 2 ล้านคัน
ขณะเดียวกัน ยอดขายรถอีวีอาจคิดใกล้แตะระดับ 20% ของยอดขายรถทั่วโลก หรืออยู่ระหว่าง 700,000 ถึง 750,000 คัน
สัปดาห์ก่อน ฮอนด้าคาดว่าผลกำไรจะลดลง 3,000 ล้านดอลลาร์ จากผลกระทบของมาตรการภาษี ที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐเรียกเก็บต่อรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์นำเข้า อย่างไรก็ตาม ฮอนด้ามีการผลิตในสหรัฐอย่างเข้มแข็ง คิดเป็น 60% ของจำนวนรถทั้งหมดที่ขายในอเมริกา
ฮอนด้ายังถอยแผนการตั้งโรงงานอีวีในออนทาริโอ แคนาดาออกไปอีกสองปี จากอุปสงค์ที่ชะลอตัว ตามการประกาศครั้งก่อน โรงงานรถยนต์อีวีและแบตเตอรี่อีวีจะสร้างขีดการผลิต 240,000 คันต่อปี
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปยังเสนอผ่อนปรนกฎระเบียบเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจะผ่อนคลายมาตรฐานการปล่อยมลพิษ ซึ่งควรจะเข้มงวดขึ้นเมื่อสิ้นปี 2025
ฮอนด้าประกาศในเดือนธันวาคมปี 2024 ว่าจะเพิ่มยอดขายรถยนต์ไฮบริดเป็น 2 เท่าภายในปี 2030 โดยไม่นับรวมจีน นอกจากนี้ยังวางแผนยกเครื่องการผลิตรถยนต์เมื่อเริ่มปี 2026 ควบคู่ไปกับรถยนต์ไฟฟ้า
ขณะที่ธุรกิจรถจักรยานยนต์และสกู๊ตเตอร์ยังคงแข็งแรง ฮอนด้าขายรถสองล้อได้ 20.6 ล้านคันในปีงบประมาณ 2025 ครองส่วนแบ่ง 40% ของตลาดทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเป็น 60 ล้านคันในปี 2030 โดยหวังโตในอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบราซิล