อุตสาหกรรม “น้ำมัน” สหรัฐ กำลังถูกนโยบายทรัมป์ทำลาย

FILE PHOTO: A Chevron gas station sign is seen in Austin, Texas, U.S., October 23, 2023. REUTERS/Brian Snyder/File Photo
FILE PHOTO: A Chevron gas station sign is seen in Austin, Texas, U.S., October 23, 2023. REUTERS/Brian Snyder/File Photo
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คือหนึ่งในอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา ที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศการสนับสนุนเต็มที่มาโดยตลอด แต่รายงานล่าสุดของไฟแนนเชียล ไทมส์ สื่อระดับโลกของอังกฤษ แสดงให้เห็นว่า นโยบายทรัมป์ 2.0 กำลังส่งผลกระทบในทางลบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันในประเทศตนเองอย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นผลกระทบทางตรงและทางอ้อม ถึงขนาดที่บรรดาผู้บริหารของบริษัทในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ต้องออกมาเตือนว่า อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน ซึ่งอยู่ในสภาพ “บูม” ในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

การตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในตลาดโลกอย่าง “โอเปกพลัส” ยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในขณะที่นโยบายภาษีและสงครามการค้าของทรัมป์ ไม่เพียงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันของบริษัทผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นเท่านั้น ยังส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ทรุดตัวลงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนักลงทุนพากันวิตกว่า ความต้องการน้ำมันของโลกจะลดลงจากสงครามการค้า ที่อาจทำให้เศรษฐกิจของทั้งโลกตกอยู่ในภาวะถดถอย

ทำให้กำไรของผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินในสหรัฐอเมริกาลดลงจนแทบไม่เหลือหลอ ส่งผลให้ผู้ผลิตหลายรายต้องหันมาพึ่งมาตรการลดต้นทุน ซึ่งรวมถึงการปลดคนงาน และการระงับการขุดเจาะกันแล้ว

รายงานของเอสแอนด์พี โกลบอล คอมโมดิตี้ อินไซต์ส ประเมินว่า ในปีหน้า ผลผลิตน้ำมันโดยรวมของสหรัฐอเมริกาจะลดลง 1.1% มาอยู่ที่ราว 13.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพราะบรรดาผู้ผลิตรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาพากันระงับการผลิต เนื่องจากราคาในตลาดโลกลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องจากความกังวลว่า ตลาดน้ำมันโลกจะอยู่ในสภาพ “โอเวอร์ซัพพลาย” และความกังวลจากสงครามการค้าของทรัมป์

หากทุกอย่างเป็นไปตามนั้น ก็จะกลายเป็นการลดลงของผลผลิตรายปีเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ไม่นับรวมสถานการณ์อุปสงค์น้ำมันล่มระหว่างวิกฤตโควิด เมื่อปี 2020 ซึ่งเคยส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันในเทกซัส และนอร์ธดาโกตา ล้มละลายกันเป็นแถวมาแล้ว ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกล่าสุดเมื่อ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปิดตลาดประจำสัปดาห์ลงมาอยู่ที่ 61.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากระดับราคาสูงสุดของปีนี้ถึง 23% ทีเดียว

นัยสำคัญของระดับราคาดังกล่าวตามข้อมูลจากการสำรวจของ ธนาคารกลาง (เฟด) สาขาดัลลัส ก็คือ ผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหิน หรือเชลออยล์ ต้องการให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถึงจะคุ้มทุนกับต้นทุนการผลิต ยิ่งต่ำลงไปกว่านั้นมากเท่าใด ยิ่งทำให้การขุดเจาะไม่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น ในที่สุดก็จะส่งผลให้ทุกอย่างยุติลงไปโดยปริยาย

อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินน้ำมัน มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐอเมริกาไม่น้อย การผลิตนำเอาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติราคาถูกมาให้กับเศรษฐกิจทั้งระบบ จีดีพีของประเทศขยายตัว ภาคแรงงานขยายตัว เช่นเดียวกับการส่งออกพลังงาน ที่พุ่งสูงขึ้นก็ช่วยปรับสมดุลทางการค้าของสหรัฐอเมริกาได้ไม่มากก็น้อย

ADVERTISMENT

ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ ผลผลิตน้ำมันและก๊าซที่เพิ่มสูงขึ้น ช่วยให้สหรัฐอเมริกา ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ อย่างซาอุดีอาระเบีย และประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มโอเปกอีกต่อไป ช่วยให้รัฐบาลอเมริกันสามารถใช้มาตรการแซงก์ชั่นต่อประเทศที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายสำคัญ อย่างรัสเซีย อิหร่าน หรือเวเนซุเอลาได้ โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป

“ความเป็นอิสระด้านพลังงาน” คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ทรัมป์ประกาศจะสนับสนุนการขุดเจาะและการผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในยุคของประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ปัญหาในเวลานี้ก็คือ การผลิตที่ทรัมป์คาดหวังว่าจะเพิ่มมากขึ้น กำลังลดลงและจะยิ่งลดลงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากระดับราคาในตลาดโลกยังดิ่งลงไปเรื่อย ๆ เช่นนี้

สกอตต์ เชฟฟีลด์ อดีตผู้บริหารของไพโอเนียร์ เนเชอรัล รีซอร์ซเซส บริษัทขุดเจาะน้ำมันจากชั้นหิน บอกกับไฟแนนเชียล ไทมส์ ว่า ถ้าหากราคาน้ำมันดิบลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาอาจหายไปมากถึง 300,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากกว่าผลผลิตโดยรวมของชาติสมาชิกโอเปกขนาดเล็กบางชาติด้วยซ้ำไป

เขาชี้ว่า การตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่งผลคุกคามโดยตรงต่อส่วนแบ่งการตลาดในตลาดน้ำมันดิบโลกของสหรัฐอเมริกา พร้อมระบุว่า ซาอุดีอาระเบียต้องการส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลกเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เคยสูญเสียไปเพราะยุทธศาสตร์ลดกำลังการผลิตก่อนหน้านี้ และเชื่อด้วยว่า ซาอุดีอาระเบียจะประสบความสำเร็จตามที่ต้องการได้ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้านี้เท่านั้น เพราะการลดลงอย่างต่อเนื่องของการผลิตในสหรัฐอเมริกา

เบเกอร์ ฮิวจส์ บริษัทผู้ให้บริการแหล่งขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันบนบกในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวชี้วัดกิจกรรมในอุตสาหกรรมนี้หลงเหลือทำการขุดเจาะอยู่ที่ 553 แท่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลดลงมากถึง 10 แท่น จากจำนวนเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ แต่ถ้าเทียบกับปริมาณแท่นขุดเจาะที่กำลังทำงานอยู่ดังกล่าวกับเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า ตัวเลขที่ลดต่ำลงก็จะสูงขึ้นเป็น 26 แท่น

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่บางรายก็เริ่มปรับลดพนักงาน เช่น ผู้ผลิต อย่างเชฟรอน และบีพี ประกาศลดตำแหน่งงานลงทั่วโลกรวมกันถึง 15,000 ตำแหน่ง แม้ว่า สำนักงานสถิติแรงงานแห่งสหรัฐอเมริกา ยังคงยืนยันว่า สภาพการจ้างงานแรงงานในอุตสาหกรรมน้ำมันในสหรัฐอเมริกา ยังคงมีเสถียรภาพอยู่ก็ตามที

เอนเวอรัส บริษัทวิจัยด้านพลังงาน เปิดเผยว่า บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ 20 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกา (ไม่รวม เอ็กซอนโมบิล และเชฟรอน) ปรับลดงบประมาณรายจ่ายลงรวมกัน 1,800 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3% เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และคาดว่าจะมีบริษัทอีกมากหั่นรายจ่ายลงไปเช่นกัน หากราคาน้ำมันดิบร่วงลงมาอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ปัญหาใหญ่ในเวลานี้ก็คือ นโยบายภาษีของทรัมป์ ไม่เพียงส่งผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ยังส่งผลให้เหล็กและอะลูมิเนียม วัสดุที่จำเป็นต้องใช้ในแท่นขุดเจาะและท่อลำเลียงน้ำมัน ราคาแพงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นโดยตรง ในขณะที่ “ปีเตอร์ นาวาโร” ที่ปรึกษาคนสำคัญของทรัมป์ กลับออกมาบอกว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบลดลงมาอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็จะช่วยผ่อนคลายภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา แต่ทำให้ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ แตกตื่นไปตาม ๆ กัน