สงครามการค้าทุบบริษัทค้าปลีกสหรัฐ พิจารณาถอนตัวตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น

ภาพ รอยเตอร์

บริษัทค้าปลีกสหรัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าของทรัมป์ เปิดรับข้อเสนอ “ซื้อกิจการ” แบบส่วนตัวมากขึ้น พร้อมแผนถอนตัวจากตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากความแน่นอนของนโยบายการค้าโดนัลด์ ทรัมป์ กระทบตลาดมูลค่าหุ้นอย่างรุนแรง

รอยเตอร์ (Reuters) รายงานอ้างข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายธนาคารเพื่อการลงทุนและนักกฎหมายด้านการควบรวมและซื้อกิจการ 10 ราย ว่า บริษัทค้าปลีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา กำลังพิจารณาข้อเสนอการซื้อกิจการพร้อมกับแผนการถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์ (take-private) มากขึ้น ท่ามกลางนโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่ไม่มีความแน่นอน

เนื่องจากบริษัทค้าปลีกของสหรัฐ สินค้าส่วนใหญ่ผลิตจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีน ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าที่สูงอย่างรวดเร็วของทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นของบริษัทที่ลดลงอย่างมาก ทำให้บอร์ดบริหารและเจ้าของบริษัทค้าปลีก เริ่มเปิดใจรับข้อเสนอการซื้อกิจการพร้อมถอนตัวจากตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เพื่อหนีความโกลาหลของตลาดหุ้นที่ทำให้การประเมินมูลค่าบริษัทผันผวนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ภายหลังจาก Skechers (สเก็ตเชอร์ส) บริษัทผลิตรองเท้าผ้าใบ รับข้อเสนอการเข้าลงทุนของบริษัท 3G Capital พร้อมกับการถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์เมื่อต้นเดือนนี้ ทำให้คาดได้ว่าจะมีบริษัทค้าปลีกอื่น ๆ อีกหลายรายที่จะบรรลุข้อตกลงในลักษณะเดียวกันนี้ตามมาอีกในระยะใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทรัมป์ไม่สะสางนโยบายการค้าให้มีเสถียรภาพกว่าได้ในเร็ว ๆ นี้

กรณี Skechers ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าชื่อดัง โดยมีฐานผลิตหลักอยู่ที่ประเทศจีนและเวียดนาม โดยก่อนที่มูลค่าตลาดของบริษัทจะลดลงอย่างรวดเร็ว จากระดับสูงสุดตลอดกาลที่ประมาณ 11.85 พันล้านดอลลาร์ (385,000 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2025 ซึ่งเป็นวันก่อนที่ทำเนียบขาวจะประกาศภาษีศุลกากรรอบแรกต่อจีน แต่การประกาศมาตรการภาษีของทรัมป์ทำให้มูลค่าของบริษัทลดลงจนเหลือประมาณ 7,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 240,000 ล้านบาท) ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ครอบครัว Greenberg ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ตัดสินใจรับข้อเสนอขายหุ้นให้กับ 3G Capital มูลค่าประมาณ 9,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 300,000 ล้านบาท) และถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์

ทำให้บริษัทไม่ต้องเปิดเผยแนวโน้มผลประกอบรายไตรมาสต่อสาธารณชน ภายใต้สภาวะความไม่แน่นอน และปกป้องมูลค่าของบริษัทจากการแกว่งตัวของตลาดที่คาดเดาไม่ได้ด้วย

รายงานข่าวระบุว่า ผู้ค้าปลีกรายอื่น ๆ กำลังเจรจาเพื่อขายหุ้นให้กับบริษัทการลงทุนต่าง ๆ โดยบริษัทที่อาจตกเป็นเป้าหมายได้รับข้อเสนอการซื้อหุ้นและถอนตัวออกจากตลาด ได้แก่ Under Armour, Columbia Sportswear และ Birkenstock ซึ่งมีโครงสร้างเป็นธุรกิจครอบครัว หรือเป็นผู้ลงทุน ที่เป็นถือหุ้นใหญ่รายเดียว ด้วยข้อดีที่สามารถลงนามในข้อตกลงได้เร็วและง่ายกว่า ข้อตกลงที่ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นจำนวนมาก

ADVERTISMENT

สำหรับ Under Armour ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Kevin Plank มีอำนาจในการลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ ส่วน Columbia Sportswear Company ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ Timothy Boyle และครอบครัวของเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ขณะที่ Birkenstock มีบริษัทไพรเวตอิควิตี้ L Catterton ถือหุ้นส่วนใหญ่

เคิร์ต แอนโธนี่ หัวหน้าฝ่ายธนาคารเพื่อการลงทุน ประจำภูมิภาคอเมริกาของ UBS กล่าวว่าจากปัจจัยความไม่แน่นอน ความผันผวน และการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคอย่างรวดเร็ว ทำให้คณะกรรมการบริหารบริษัทเริ่มคิดว่า จะดีกว่าหรือไม่ หากบริหารธุรกิจนี้ในที่ส่วนตัว ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องรายงานผลประกอบการรายไตรมาสต่อสาธารณะ และสามารถควบคุมการตัดสินใจด้านปฏิบัติการ การเงิน และการจัดสรรเงินทุนอย่างเป็นส่วนตัวได้