
ผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่กับการปฏิรูปสกุลเงินดิจิทัล “Stablecoin” ผูกค่าเงินวอน กระตุกความหวังอุตสาหกรรมคริปโตฯ
ขณะที่การผลักดัน G Token ของไทยดำเนินการไปถึงเตรียมเลือกเอกชนดำเนินการออกลอตแรก ซึ่งคาดว่าจะสามารถระบุได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ หันหน้าไปที่ประเทศเกาหลีใต้ที่เพิ่งได้ผู้นำคนใหม่มาหมาด ๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสกุลเงินดิจิทัลครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ “Stablecoin” ผูกสกุลเงินดิจิทัลกับวอน
เรื่องราวการผลักดันในครั้งนี้เริ่มต้นจากพรรคประชาธิปไตย หรือ ดีพี (Democratic Party – DP) ประกาศจัดตั้งคณะกรรมการสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Committee) อย่างเป็นทางการ เพื่อพัฒนานโยบายด้านคริปโต และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ กลางสมัชชาแห่งชาติกรุงโซล โดยประเด็นสำคัญในครั้งนี้ ได้แก่
- แก้ปัญหาความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ (regulatory uncertainty)
- การกำกับดูแล Stablecoin เมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐกำลังผลักดันเหรียญ US-dollar stablecoins
- ทบทวนการผ่อนปรนระบบเดิม เช่น กฎ “หนึ่งเว็บเทรด-หนึ่งธนาคาร (One Exchange, One Bank)” ที่ถูกวิจารณ์ว่าจำกัดการแข่งขันและการพัฒนา
นับเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่กรอบการทำงานด้านสกุลเงินดิจิทัลแบบรวมศูนย์ โดยคณะกรรมการสินทรัพย์ดิจิทัลมีมิน บยองด็อก (Min Byeong-deok) เป็นประธาน และได้รับการสนับสนุนจากผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี “อี แจมยอง” ณ ขณะนั้น
ป้องกันการครอบงำของสหรัฐ
ซึ่งข้อเสนอสำคัญ คือ การที่ Stablecoin ผูกกับเงินวอน แตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลที่มีความผันผวน เนื่องจากมันสามารถทำให้การซื้อ-ขายมีเสถียรภาพ และดึงดูดนักลงทุนสถาบันต่าง ๆ ได้ ตรงกับวิสัยทัศน์ด้านคริปโตเคอร์เรนซีของอี แจมยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนล่าสุด
ตลาด stablecoin ทั่วโลกขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยทะลุ 230,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมามูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 247,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3,537,000 ล้านดอลลาร์จากสัปดาห์ก่อนหน้าเพียงสัปดาห์เดียว
ตัวเลขเหล่านี้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนเบื้องหลังความคิดริเริ่มของเกาหลีใต้ ลีตั้งข้อสังเกตว่า เกาหลีใต้ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดก่อนเหรียญที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐจะเข้ามาครอบงำการซื้อขายในประเทศอย่างสมบูรณ์
เขาให้คำมั่นสัญญาว่า จะนำสกุลเงินดิจิทัลที่สนับสนุนโดยวอนมาใช้ หากได้รับการเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่าสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าวจะช่วยลดการไหลออกของสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 56.8 ล้านล้านวอน (40.8 พันล้านดอลลาร์) ในขณะเดียวกันก็ทำให้การซื้อขายภายในประเทศง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังจะผลักดันให้มีการอนุมัติอีเอฟที โดยอ้างถึงความสำเร็จของสหรัฐว่าสามารถดึงดูดปริมาณการซื้อขายได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตกลงที่จะสำรวจ ETF เป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากการตัดสินในปี 2024 ที่ว่าคริปโตเคอเรนซีไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายดังกล่าว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้อาจปลดล็อกโอกาสการลงทุนใหม่
ปฏิรูปสกุลเงินดิจิทัล
การปฏิรูปสกุลเงินดิจิทัลของเกาหลีใต้ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย แต่เป็นความพยายามในการเป็น “ผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชีย” ทั้งการส่งเสริมสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ การทำให้กองทุน ETF ถูกกฎหมาย และการผ่อนปรนข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยน
สามสิ่งนี้สามารถปลดล็อกสภาพคล่องในตลาดได้หลายพันล้านดอลลาร์และดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับเสถียรภาพยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ ดังที่คำเตือนของธนาคารแห่งเกาหลีเน้นย้ำ และการผลักดันนโยบายของลีในฐานะประธานาธิบดีอาจต้องเผชิญหน้ากับการคัดค้านของฝ่ายค้านว่า นโยบายดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะเกิดฟองสบู่เก็งกำไร
สานต่อผลักดันคริปโตฯ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกาหลีใต้เลือกผู้สมัครที่สัญญาว่าจะผลักดันให้คริปโตฯ อดีตประธานาธิบดี “ยุน ซ็อกย็อล” เคยให้คำมั่นสัญญาหลายประการเพื่อยกเลิกการควบคุมอุตสาหกรรมคริปโต แต่หลายคำมั่นกลับล่าช้าและมีความคืบหน้าที่จำกัดในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง
แผนของยูนในการเลิกควบคุมอุตสาหกรรมคริปโตฯถูกต่อต้านจากคณะกรรมการบริการทางการเงินโดยอ้างถึงการคุ้มครองนักลงทุน ขณะที่คณะกรรมการบริการทางการเงิน (FSC) เริ่มยอมรับการผ่อนปรนกฎระเบียบคริปโตที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับคริปโตของผู้นำคนใหม่
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก FSC ระบุว่า เกาหลีใต้เป็นตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ เน้นการซื้อขาย altcoin สถิติเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา เกาหลีใต้มีผู้ใช้การแลกเปลี่ยนคริปโต 9.7 ล้านคน คิดเป็นเกือบ 20% ของประชากรทั้งหมด
ข้อมูลจาก The Block, cointrackdaily และ Yellow News