‘เฟด’ เมิน ‘ทรัมป์’ ไม่หั่นดอกเบี้ย เตือนไม่นานภาษี ‘ออกฤทธิ์’ เต็มที่

FILE PHOTO: U.S. President Donald Trump looks on as Jerome Powell, his nominee to lead the Fed moves to the podium at the White House
FILE PHOTO: U.S. President Donald Trump looks on as Jerome Powell, his nominee to lead the U.S. Federal Reserve moves to the podium at the White House in Washington, U.S., November 2, 2017. REUTERS/Carlos Barria/File Photo
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

ไม่ผิดความคาดหมาย สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดือนมิถุนายน เมื่อคณะกรรมการมีมติไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยยังคงตรึงไว้ระดับเดิมที่ 4.25-4.5% เป็นการตรึงดอกเบี้ยติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024

พร้อมกันนี้คณะกรรมการได้เปิดเผยคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2025 ซึ่งระบุว่าเศรษฐกิจจะเผชิญแรงกดดันของภาวะชะงักงัน (Stagflation) ต่อไปอีก ส่วนอัตราเติบโตเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 1.4% น้อยลงเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ครั้งก่อนที่เชื่อว่าจะโต 1.7% อัตราว่างงาน 4.5% สูงขึ้นเมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 4.4% อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วว่าคณะกรรมการยังเห็นว่าเศรษฐกิจยังเติบโตในอัตราที่แข็งแกร่ง

ทางด้านคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของคณะกรรมการรายบุคคล หรือ Dot Plot นั้น บ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปี 2025 นี้

“เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด แถลงว่า ยังมีเวลาที่จะรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนกว่านี้ก่อนตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายของเฟด ซึ่งในส่วนของภาษีศุลกากรตามนโยบายของรัฐบาลนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเพิ่มต้นทุนให้กับภาคธุรกิจและผู้บริโภค เพราะสุดท้ายแล้วต้องมีใครสักคนที่อยู่ในห่วงโซ่ต้องจ่ายภาษีอยู่ดี ระหว่างผู้ผลิต-ผู้ส่งออก-ผู้นำเข้า-ผู้ค้าปลีก ซึ่งตลอดห่วงโซ่นี้ก็จะมีคนที่พยายามจะไม่รับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องมีใครจ่ายอยู่ดี และบางส่วนของมันก็จะถูกส่งไปที่ผู้บริโภค

“ดังนั้น ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเงินเฟ้อก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คงใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผลกระทบเต็มที่ของภาษีศุลกากรต่อราคาสินค้า เพราะราคาสินค้าที่จำหน่ายในปัจจุบันอาจเป็นสินค้าที่ถูกนำเข้าเมื่อหลายเดือนก่อนหน้าที่จะมีการประกาศเก็บภาษี” ประธานเฟดระบุ

ในส่วนของผู้ที่เฝ้ามอง Dot Plot เพื่อหาสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยนั้น พาวเวลล์เตือนว่า ในสภาพแวดล้อมที่เศรษฐกิจมหภาคยังคงมีความเสี่ยงสูง การดูแนวโน้มดอกเบี้ยจาก Dot Plot มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะมันเหมือนกับการนั่งมองไปข้างหน้าในยามที่มีความไม่แน่นอนสูง เสร็จแล้วก็เขียนคาดการณ์ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้น่าจะเป็นอย่างไร ความจริงแล้วไม่มีใครยึดมั่นว่าเส้นทางดอกเบี้ยจะเป็นแบบนั้นอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทุกคนเห็นด้วยว่าทุกอย่างขึ้นกับข้อมูลในแต่ละห้วงเวลา

ขณะที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่เรียกร้องและกดดันให้เฟดลดดอกเบี้ยมาตลอด โดยแสดงความต้องการอยากให้เฟดลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2% ล่าสุดก็ยังคงใช้คำพูดที่รุนแรงกับประธานเฟดว่า ไม่คิดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย เพราะ “เรามีคนโง่ เขาเป็นคนเล่นการเมือง เขาไม่ฉลาด” พร้อมกับอ้างว่ายุโรปลดดอกเบี้ยมาแล้ว 10 ครั้ง แต่เฟดไม่ลดเลยสักครั้ง ก่อนหน้านั้นทรัมป์ก็ตำหนิประธานเฟดอย่างรุนแรงมาแล้วว่าเป็นคนโง่ กะโหลกหนา

ADVERTISMENT

เฟดลังเลที่จะลดดอกเบี้ย เพราะกลัวว่านโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ว่าจนถึงขณะนี้ผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่มีต่อเงินเฟ้อยังไม่มาก เนื่องจากทรัมป์ได้เลื่อนการเก็บภาษีเต็มอัตราจากที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายนไป 90 วัน ที่จะครบกำหนดต้นเดือนกรกฎาคม ประกอบกับผู้ประกอบการมีการเร่งนำเข้าเพื่อเติมสินค้าในคงคลังเพื่อหนีภาษีของทรัมป์ อีกทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคแผ่วลง ดังนั้น ภาษีศุลกากรจึงยังไม่ส่งผลกระทบเต็มที่

นักวิเคราะห์ชี้ว่า แถลงการณ์ของเฟดไม่ได้เอ่ยถึงผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาพลังงานที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยเพิ่มเติมให้เฟดไม่ลดดอกเบี้ย แต่ถ้าเศรษฐกิจค่อย ๆ อ่อนตัวลงอาจจะทำให้เฟดลดดอกเบี้ยในปลายปีนี้

คริส แซคคาเรลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Northlight Asset Management ชี้ว่า ข้อมูลการเลิกจ้างพนักงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับอัตราว่างงานระยะยาว รวมทั้งผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลงเห็นได้จากยอดขายค้าปลีกลดลงเกือบ 1% ในเดือนพฤษภาคม ส่วนตลาดบ้านก็อ่อนตัวลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี ข้อมูลทั้งหมดนี้อยู่ในมือของเฟด ซึ่งกำลังเฝ้ามองว่าภาษีศุลกากรจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น หรือทำให้การจ้างงานลดลงหรือไม่

สำหรับประธานาธิบดีทรัมป์นั้น การลดดอกเบี้ยมีความสำคัญ เพราะจะช่วยลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยของรัฐบาล ที่มีหนี้อยู่ 36 ล้านล้านดอลลาร์ เฉพาะปี 2025 ดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมของรัฐบาลจะมีจำนวน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่างบประมาณอื่นทั้งหมด ยกเว้นโครงการประกันสังคมและประกันสุขภาพ สร้างแรงกดดันต่อการขาดดุลงบประมาณ ที่มีแนวโน้มว่าจะแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 6% ของจีดีพี

“ไบรอน แอนเดอร์สัน” หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ของ Laffer Tengler Investments กล่าวว่า ดูเหมือนเฟดเต็มใจที่จะสละการจ้างงานและการเติบโตของเศรษฐกิจ เพื่อแลกกับการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ เพราะเฟดได้เปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับเงินเฟ้อ จากที่เคยแสดงท่าทีว่าเมื่อใดก็ตามที่เงินเฟ้อพุ่งขึ้น เฟดจะมุ่งมองไปที่ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น แต่ในครั้งนี้เฟดดูเหมือนมุ่งมองข้อมูลระยะสั้นเมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าเฟดหมกมุ่นให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อเป็นหลัก

เดวิด เคลลี หัวหน้านักกลยุทธ์ระดับโลกของ JPMorgan Asset Management มีความเห็นสวนทางกับคนอื่นว่า เฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยเลยในปีนี้ (2025) เพราะคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับขึ้นอันเนื่องมาจากภาษีศุลกากร กว่าจะผ่อนคลายลงก็ในปี 2026

“ปลายปี 2026 เศรษฐกิจจะแผ่วลง เงินเฟ้อเย็นลง และนั่นถึงจะเป็นโอกาสให้เฟดลดดอกเบี้ยลง ฉะนั้น ในตอนนี้อย่ามากลั้นใจรอให้เฟดหั่นดอกเบี้ย”

ขณะที่ ไซมอน แดนกัวร์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนตราสารหนี้ Goldman Sachs Asset Management ยังเชื่อว่าจะมีการลดดอกเบี้ยในปลายปี 2025 เพราะหากดูจากโทนเสียงของคณะกรรมการที่ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ แม้ว่าเงินเฟ้อจะขยับขึ้น บ่งบอกว่าเฟดไม่แข็งกร้าว นอกจากนั้นยังบอกถึงนัยว่าการขยับขึ้นของเงินเฟ้อในระยะสั้นเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว