เมื่อการ ‘ข่มขู่-ความไม่แน่นอน’ เป็นกลยุทธ์เจรจาของ ‘ทรัมป์’

Trump Strategy
U.S. President Donald Trump boards Air Force One as he departs for New Jersey at Joint Base Andrews, Maryland, U.S., June 6, 2025. REUTERS/Nathan Howard
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

วันที่ 9 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ จะครบกำหนด “เส้นตาย” ที่ประธานาธิบ ดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ผ่อนผันให้ประเทศคู่ค้ามาเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐ เพื่อจะได้ไม่ถูกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน แต่ด้วยจำนวนประเทศคู่ค้าที่มากกว่า 180 ประเทศ ทำให้สหรัฐเน้นการทำข้อตกลงกับคู่ค้ารายใหญ่และสำคัญก่อนจำนวน 10 กว่าประเทศ

แต่เมื่อใกล้จะถึงเส้นตาย มีการลงนามกันไปอย่างเป็นรูปธรรมเพียงสองประเทศคือ สหราชอาณาจักรและจีน ส่วนญี่ปุ่นนั้นยัง “ไม่ยอมอ่อนข้อ” ให้สหรัฐ แม้จะเจรจากันมาถึง 7 รอบ เพราะติดปัญหาใหญ่คือเรื่องที่สหรัฐจะบังคับให้ญี่ปุ่นเพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐ ส่วนญี่ปุ่นต้องการให้สหรัฐยกเลิกการเก็บภาษีรถยนต์จากญี่ปุ่น 25% เพราะมองว่าหากสหรัฐไม่ยกเลิกภาษีรถยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของญี่ปุ่น ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเจรจา

การที่ไม่สามารถทำข้อตกลงได้อย่างรวดเร็วอย่างที่หวัง ทำให้ทรัมป์หัวเสียและเสียหน้า เนื่องจากเคยประกาศว่าจะสามารถทำข้อตกลงได้ประมาณ 90 ประเทศในช่วงผ่อนผัน จึงออกมาข่มขู่อีกรอบ ล่าสุดนี้ทั้งทรัมป์และ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง ขู่ว่าประเทศไหนที่ “หัวดื้อ” ไม่ยอมมาทำข้อตกลงให้ทันเส้นตาย จะถูกเก็บภาษีสูงเท่ากับวันที่ 2 เมษายน หรืออาจสูงกว่าเดิมเพื่อลงโทษ

อันที่จริงเวลาเพียง 3 เดือนที่ยืดออกไปนั้น ฝ่ายสหรัฐน่าจะรู้อยู่แล้วว่า หากจะเจรจาให้ครบ 180 กว่าประเทศ ไม่มีทางทำได้ทันอยู่แล้ว ซึ่งฝ่ายสหรัฐก็ยอมรับเอง ว่าด้วยกำลังคนที่มีอยู่ไม่สามารถทำได้ทัน ดังนั้น การที่ยืดเส้นตายออกไป 3 เดือนก็เป็นเพียงกลยุทธ์กดดันคู่ค้ารีบมาเสนอดีลดี ๆ ให้กับสหรัฐ จากนั้นก็เป็นสิทธิของสหรัฐว่าจะเมตตากรุณาหรือไม่

เมื่อชัดแล้วว่าเส้นตายเดิมคงไม่สามารถเสร็จทัน ก็เริ่มมีท่าทีว่าจะมีการ “ยืดเส้นตาย” ออกไปอีก แต่ก็เหมือนเดิม คือมีการส่งสัญญาณที่ “สับสน” โดยทรัมป์ยืนยันว่าเขาจะไม่ขยายเส้นตาย แต่จะส่งจดหมายไปแจ้งประเทศเหล่านั้นเอง ว่าจะต้องเสียภาษีอัตราใด แต่ขณะเดียวกัน ทางโฆษกทำเนียบขาว รวมทั้งเบสเซนต์ ส่งสัญญาณอีกอย่างที่แสดงว่า “เส้นตาย” ไม่ใช่เรื่องซีเรียส

ประเทศที่ตกเป็นเป้าข่มขู่ล่าสุดของทรัมป์ก็คือ “ญี่ปุ่น” โดยกล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าจะได้ข้อตกลงกับญี่ปุ่นหรือไม่ พร้อมกับกล่าวหาว่าญี่ปุ่นไม่ยอมนำเข้าข้าวจากสหรัฐ ทั้งที่ญี่ปุ่นขาดแคลนข้าว ดังนั้น สิ่งที่ตนจะทำก็คือ “ส่งจดหมาย” ไปถึงญี่ปุ่น บอกว่าต้องเสียภาษีรถยนต์ 25% และเสียภาษีทั่วไปโดยรวม 30 หรือ 35% หรืออะไรก็แล้วแต่ตามที่เราจะกำหนด

ตามประกาศของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายน เรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจากญี่ปุ่นโดยรวม 24% แต่เฉพาะภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนนั้นจะถูกเก็บ 25% โดยอ้างว่าญี่ปุ่นไม่ยอมนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐ

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างของทรัมป์เรื่องข้าว ขัดแย้งกับข้อมูลอย่างเป็นทางการจากสำนักสำมะโน ของสหรัฐ ที่ชี้ให้เห็นว่าปีที่แล้ว (2024) ญี่ปุ่นซื้อข้าวจากสหรัฐมูลค่า 298 ล้านดอลลาร์ และระหว่างเดือนมกราคม-เมษายนปีนี้ซื้อไป 114 ล้านดอลลาร์

ขณะที่ “โยชิมาสะ ฮายาชิ” หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นโต้ว่า ญี่ปุ่นจะไม่ยินยอมในสิ่งที่จะทำร้ายเกษตรกรของญี่ปุ่นเพียงเพื่อจะบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐ

เช่นเดียวกับ เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาการค้าของญี่ปุ่นระบุว่า ในการเจรจากับสหรัฐตนได้พูดและย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าภาคเกษตรเป็น “ฐานราก” ของญี่ปุ่น ดังนั้น เราจะไม่เจรจาในสิ่งที่ทำให้เราต้องเสียสละภาคเกษตร

ทั้งนี้ เกษตรกรญี่ปุ่น โดยเฉพาะชาวนาถือเป็น “พลังทางการเมือง” ของพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล และอยู่ในอำนาจมายาวนานตั้งแต่หลังสงคราม ตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรคนี้รักษาฐานเสียงที่เป็นเกษตรกรผ่านการให้เงินอุดหนุนและเข้มงวดการนำเข้า

ถึงแม้สุ้มเสียงของทรัมป์จะฟังคล้ายกับว่าจะเลิกเจรจากับญี่ปุ่นและจะไม่ขยายเส้นตาย แต่ “เควิน แฮสเส็ต” ผู้อำนวยการสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งสหรัฐ กลับยืนยันว่ายังไม่มีอะไรยุติลง ผมรับทราบในสิ่งที่ประธานาธิบดีโพสต์ แต่มันยังคงมีการเจรจากันต่อไปจนกว่าจะถึงจุดสุดท้าย ซึ่งถึงแม้จะได้กรอบข้อตกลงแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ต้องมาตกลงกันในขั้นสุดท้ายในสิ่งต่าง ๆ อยู่ดี

นักวิเคราะห์ระบุว่าความพยายามของญี่ปุ่นที่จะใช้วิธีที่เป็นมิตรและมั่นคงในการเจรจากับสหรัฐ กำลังถูกทดสอบท่ามกลางแรงกดดันจากทรัมป์ กลยุทธ์ระมัดระวังของญี่ปุ่นที่ทำให้ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง สร้างความเสี่ยงที่จะกลายเป็นเป้าที่ “หวานหมู” สำหรับรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการชัยชนะอย่างรวดเร็ว เพราะญี่ปุ่นนั้นไม่เหมือนจีน โดยฝ่ายจีนใช้วิธีตอบโต้ตาต่อตากับสหรัฐ

ส่วนญี่ปุ่นนั้นต้องพึ่งพาสหรัฐทั้งด้านการค้าและความมั่นคง ทำให้ญี่ปุ่นไม่อยากเผชิญหน้าโดยตรงกับสหรัฐ แต่ใช้วิธีเจรจาบ่อยครั้ง สุภาพ และหนักแน่นแทน เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะได้ข้อตกลงที่แย่ ๆ ในช่วงที่ญี่ปุ่นใกล้จะมีการเลือกตั้งวันที่ 20 กรกฎาคมนี้

ทรัมป์นั้นอาจจะได้ใจ เมื่อเห็นว่า “กลยุทธ์ข่มขู่” ของเขาใช้ได้ผลกับบางประเทศมาแล้ว เช่น การขู่แคนาดาว่าจะเลิกเจรจาการค้ากับแคนาดาทั้งหมด หากไม่ยกเลิกการเก็บภาษีบริการดิจิทัลของบริษัทอเมริกัน ทำให้แคนาดาต้องถอย ด้วยการยกเลิกภาษีดังกล่าว

เช่นเดียวกับ “ความไม่แน่นอน” หรือความป่วนที่ทรัมป์สร้างขึ้นตลอดเวลา ตามแต่ทรัมป์อยากจะโพสต์อะไร จนตลาดปั่นป่วน โลกพลิกคว่ำพลิกหงาย นักลงทุน ภาคธุรกิจไม่สามารถวางแผนอะไรได้

โดยปกติแล้ว “ความแน่นอน” เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศมีความน่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจ แต่สหรัฐยุคทรัมป์ 2 ได้ฉีกทฤษฎีนี้ แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐออกมาสนับสนุนและแก้ต่างให้กับทรัมป์ว่า “สิ่งที่ประธานาธิบดีทำ ผมจะขอเรียกว่าความไม่แน่นอนเชิงกลยุทธ์ในการเจรจา ความแน่นอนไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีเสมอไปในการเจรจา”

เบสเซนต์นั้นเคยเป็นผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์มาก่อน พูดง่าย ๆ คือเป็นเทรดเดอร์ และเคยทำงานให้กับกองทุนของจอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรค่าเงินระดับโลก ดังนั้น อาจเป็นไปได้ว่าเขาชื่นชอบ “ความเสี่ยง” เพราะทำกำไรได้เร็วและมาก ตามประวัติของเขา เคยเก็งกำไรค่าเงินปอนด์ได้กำไรนับพันล้านดอลลาร์

เมื่อเป็นดังนี้ นักวิเคราะห์จึงเตือนว่า แม้วันที่ 9 กรกฎาคม จะผ่านพ้นไป ก็อย่าได้หวังว่าจะมีความแน่นอนใด ๆ เกิดขึ้น