ในวันนี้ (6 ก.ค.) เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา จากกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ยืนยันว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% วงเงินรวม 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามกำหนดการที่ได้วางไว้ (หลังจากที่ได้ประกาศใช้ไปแล้วครั้งแรกในวันที่ 6 มิ.ย.) โดยมีเป้าหมายหลักตอบโต้จีนในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลปักกิ่งก็เตรียมรีดภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกัน โดยมุ่งเป้าตอบโต้ไปที่สินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงรถยนต์แบรนด์ต่างๆ ของอเมริกาด้วย
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างแสดงความคิดเห็นในหลากหลายทิศทาง โดย “บลูมเบิร์ก” รายงานรวบรวมมุมมองจากผู้คว่ำหวอดในวงการ ตัวอย่างเช่น นายคริส แอสทีย์ บรรณาธิการฝ่ายการจัดการ จาก Asia Cross-Asset Markets ที่มองว่า โลกไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป เพราะผลกระทบจากการรีดภาษีของทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนอย่างเต็มรูปแบบ ต้องใช้เวลาในการติดตามพอสมควร อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในระยะสั้นที่จะเห็นคือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกระยะสั้น รวมถึงมาตรฐานค่าครองชีพของประเทศต่างๆ
ส่วน S & P Global Ratings กล่าวว่า บริษัทญี่ปุ่น อาจช่วยบรรเทาความตึงเครียดสงครามทางการค้าได้ ด้วยการเคลื่อนย้ายภาคการผลิตไปยังสหรัฐมากขึ้น เช่น โรงงานของบริษัทฮอนด้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทของจีนมีโอกาสน้อยที่จะดำเนินการเช่นเดียวกัน ด้วยการย้ายฐานการผลิตสินค้าบางส่วนเข้าไปในสหรัฐฯ ตามความต้องการของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เรียกร้องให้มีการค้าแบบยุติธรรมต่อธุรกิจของสหรัฐ รวมไปถึงเคยประกาศว่าต้องการเพิ่มโอกาสการจ้างงานให้กับคนอเมริกา โดยเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ