“ค้าปลีก” ยุโรปดิ้นหนัก “ควบกิจการ-จับมือคู่แข่ง” หนีตาย

ปัญหาที่กดดันกลุ่มธุรกิจ “ค้าปลีกแบบดั้งเดิม” มาตลอด และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือการเข้ามาของแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ โดยเฉพาะ “อเมซอน” ที่มีอิทธิพลมากขึ้นในตลาดยุโรป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยของ “discount supermarket”

ที่ส่งผลโดยตรงต่อกลุ่มค้าปลีกดั้งเดิมต้องปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่ ทำให้เกิดปรากฏการณ์การควบรวมกิจการ และจับมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อความอยู่รอด

ไฟแนนเชียล ไทมส์ รายงานว่า นายแพททริค โอ ไบรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยด้านค้าปลีก ของสหราชอาณาจักร จาก GlobalData บริษัทด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ กล่าวว่า การรุกหนักของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซต่าง ๆ

โดยเฉพาะ “อเมซอน” ของสหรัฐที่เข้ามามีอิทธิพลในตลาดยุโรป รวมไปถึงการเข้ามาของ “discount supermarket” กลายมาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เขย่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม ซึ่งจำเป็นต้องเร่งปรับทิศทางธุรกิจอย่างหนัก โดยให้ความสำคัญกับการควบรวมกิจการ (M&A) และการจับมือเป็นพันธมิตรกับคู่แข่งจากกลุ่มธุรกิจเดียวกัน

“การควบรวมกิจการ หรือการหาพันธมิตรในปัจจุบันเป็นไปเพื่อหวังให้ธุรกิจมีผลกำไรและอยู่รอด ต่างจากในยุคแรก ๆ ที่จะชูเป้าหมายเพื่อการขยายธุรกิจให้มีขนาดใหญ่ขึ้น” นายไบรอันระบุ

รายงานข่าวว่าเป็นช่วงแห่งการปรับตัวของธุรกิจค้าปลีกในยุโรป จากกรณีล่าสุดที่ “เทสโก้” ค้าปลีกรายใหญ่สุดในสหราชอาณาจักร (UK) กับ “คาร์ฟูร์” ห้างค้าปลีกสัญชาติฝรั่งเศส คู่แข่งทางธุรกิจที่กลายมาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ โดยทั้งสองต้องการสร้างอำนาจซื้อที่มีร่วมกันในการลดค่าใช้จ่าย และต่อรองราคาสินค้ากับซัพพลายเออร์ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของยักษ์ค้าปลีกในยุโรป

นายเดฟ ลูว์อิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เทสโก้” กล่าวว่า เทสโก้และคาร์ฟูร์จะใช้ความร่วมมือดังกล่าวในการเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ทั่วโลก โดยจะเพิ่มความสามารถในการหาแหล่งผลิตร่วมกัน เพื่อการให้บริการลูกค้าดียิ่งขึ้นทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มและคุณภาพของสินค้า รวมถึงจะแชร์สินค้าแบรนด์ในเครือของทั้งสองด้วย โดยความร่วมมือเป็นพันธมิตรที่มีข้อตกลงร่วมกันในระยะแรก 3 ปี เป็นส่วนหนึ่งของแผนการควบรวมกิจการในระยะยาว

ขณะที่ นายอเล็กซานเดอร์ บอมพาร์ดประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “คาร์ฟูร์” กล่าวว่า คาร์ฟูร์อยู่ระหว่างการวางแผนเพื่อลดค่าใช้จ่ายประมาณ 2,000 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2020 การเป็นพันธมิตรร่วมกับเทสโก้ จะช่วยให้บริษัททั้งสองสามารถลดต้นทุน และขายสินค้าราคาถูกลงกว่าที่อื่นได้ รวมถึงสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง อเมซอน และ Aldi กับ Lidl ค้าปลีกราคาถูกจากเยอรมนีได้ ทั้งนี้ คาดว่าการทำข้อตกลงร่วมกันน่าจะเกิดขึ้นภายในอีก 2 เดือนข้างหน้า

บลูมเบิร์ก รายงานว่า นายเจมส์ เกอซินิก นักวิเคราะห์จากเจฟเฟอรีส์ กรุ๊ป วาณิชธนกิจชั้นนำของโลกจากนิวยอร์ก ประเมินว่า แต่ละปีเทสโก้และคาร์ฟูร์ใช้งบประมาณมากถึง 105,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งการผนึกกำลังต่อรองซัพพลายเออร์จะช่วยให้ทั้งสองประหยัดต้นทุนได้ราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

รายงานข่าวได้กล่าวถึงธุรกิจค้าปลีกรายอื่น ๆ ในยุโรปที่ปรับตัวไปก่อนหน้า อย่างเช่นสัปดาห์ก่อนที่ 3 กลุ่มค้าปลีกของฝรั่งเศส ได้แก่ Auchan, Casino และ Schiever เจรจาข้อตกลงที่จะจับมือกับ Metro ค้าปลีกสัญชาติเยอรมัน เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์ระหว่างประเทศทำให้ได้ต้นทุนที่ดีขึ้น รวมถึงสินค้าที่มีหลากหลายขึ้น

รายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นของเยอรมนีระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่การเจรจาทิศทางและกรอบความร่วมมืออย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นในปี 2019 นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่า กลุ่มธุรกิจค้าปลีกทั้ง 4 รายจะร่วมกันเปิดตัวธุรกิจค้าปลีกใหม่ ภายใต้ชื่อ “Horizon” เพื่อบุกตลาดต่างประเทศ โดยเน้นกลยุทธ์สินค้าหลากหลายและราคาถูก

ขณะที่ช่วงปลาย เม.ย.ที่ผ่านมา “Sainsbury”s” ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ อันดับ 2 ของ UK ก็ได้ประกาศแผนควบรวมกิจการกับ “ASDA” ห้างค้าปลีก

อันดับ 3 ของ UK เช่นกัน ที่มี Walmart ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเป็นเจ้าของ ซึ่งหากแผนการควบรวมกิจการของห้างค้าปลีกทั้งสองประสบความสำเร็จจะส่งผลให้มีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 หรือราว 31% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดใน UK ขึ้นแซงเทสโก้ที่ครองอันดับหนึ่งในปัจจุบัน

นายไมค์ คูปเป หัวหน้าผู้บริหาร Sainsbury”s กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง ประมาณ 10% ในสินค้าหลายรายการที่ผู้บริโภคซื้อเป็นประจำ

ขณะที่ “เมลลา ฟรูว์เอน” ผู้อำนวยการฟู้ดดริงก์ยุโรป ที่มีสำนักงานใหญ่ในเบลเยียม กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมในยุโรปตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะใน UK หลังจากที่อเมซอนโดดเข้าไปเล่นในตลาดค้าปลีกออฟไลน์ เข้าซื้อกิจการ “Whole Foods” ซูเปอร์มาร์เก็ตสินค้าออร์แกนิกที่มีกว่า 400 สาขา พร้อมเปิดบริการจัดส่งออนไลน์ “Fresh” เมื่อปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม นายบรูโน มอนเทย์เน จากบริษัทวิจัยด้านการลงทุน “Sanford Bernstein” กังวลเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของการหาพันธมิตรและการควบรวมกิจการ จุดประสงค์หลักที่เห็นได้ชัดก็คือ เพื่อให้สินค้ามีความหลากหลาย ราคาสามารถแข่งขันได้ และลดต้นทุนเพื่อรีดกำไรได้มากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้คือ “สงครามหั่นราคา” ที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ