ศึกภาษีสะเทือน “ฮอลลีวูด” โอกาส “บอลลีวูด” ยึดตลาดจีน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ไม่ได้สร้างปัญหาแค่กับสินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค หรืออุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้น แต่ธุรกิจบันเทิงอย่าง “อุตสาหกรรมภาพยนตร์” อาจได้รับผลกระทบเร็ว ๆ นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า “บอลลีวูด” ธุรกิจภาพยนตร์จากแดนภารตมีโอกาสเข้าแทนที่ “ฮอลลีวูด” ในตลาดจีน ท่ามกลางการประชันศึกทางภาษี

เดอะ อีโคโนมิก ไทมส์ ของอินเดีย รายงานว่า นัยสำคัญของสงครามการค้าระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับจีนไม่ได้หมายถึงแค่การสูญเสียทางการเงินและผลกระทบต่อตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการค้าบริการ มีแนวโน้มว่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีการตอบโต้มาตรการทางภาษีที่มีประสิทธิภาพของทางการปักกิ่งด้วย

“ไบ หมิง” นักวิจัยจากสถาบันการค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจของจีน (CAITEC) กล่าวว่าจีนเป็นตลาดภาพยนตร์ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ ซึ่งหลายปีมานี้ภาพยนตร์จากต่างประเทศได้เข้ามาโลดแล่นในตลาดภาพยนตร์จีนมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ “ฮอลลีวูด” แม้ว่ายังเป็นภาพยนตร์จากต่างประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในจีน แต่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ อาจสร้างความตึงเครียดต่ออุตสาหกรรมบันเทิงของสหรัฐ และเพิ่มแต้มต่อให้กับภาพยนตร์ของประเทศอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะ “บอลลีวูด”ภาพยนตร์จากประเทศอินเดีย

นักวิจัยกล่าวว่า ในแต่ละปีอุตสาหกรรมบอลลีวูดผลิตภาพยนตร์ออกสู่ตลาดมากที่สุดในโลก ประมาณ 800-1,000 เรื่อง แต่ในช่วงปี 2016-2018 อินเดียได้ส่งออกภาพยนตร์เข้าตลาดจีนเพียง 8 เรื่องเท่านั้น ขณะที่สหรัฐส่งภาพยนตร์เข้าตลาดจีนถึง 156 เรื่อง โดยอ้างอิงข้อมูลจากบริษัท EntGroup ผู้ให้บริการด้านข้อมูลสื่อบันเทิงของจีน ทั้งมองว่าแม้ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างจีนและอินเดียอาจไม่ได้ใกล้ชิดกันมากนักแต่ภาคธุรกิจและการค้าระหว่างกันถือว่ามีโอกาสพัฒนาได้มากกว่านี้ หากเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐในเวลานี้

“สงครามการค้าจีน-สหรัฐจะนำมาซึ่งโอกาสการเติบโตของบอลลีวูดในตลาดจีนมากขึ้น และคาดว่าในอนาคต เราอาจเห็นฮอลลีวูดสูญเสียมาร์เก็ตแชร์ในตลาดจีน ให้กับธุรกิจภาพยนตร์ประเทศอื่นมากขึ้น” ไบ หมิง กล่าว

รายงานยังระบุถึงความน่าสนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่สร้างรายได้สูงอันดับต้น ๆในจีน โดยอ้างข้อมูลจาก “บอกซ์ออฟฟิศ”ว่า ในช่วงปี 2017-2018 มีนัยสำคัญ เพราะไม่ได้มีแค่ภาพยนตร์จากฮอลลีวูดที่ครองใจคอหนังชาวจีน แต่ภาพยนตร์หลายเรื่องจากบอลลีวูดก็ขึ้นแท่นเป็นหนังที่สร้างรายได้สูงพอ ๆ กับฮอลลีวูด

ตัวอย่าง เช่น “Dangal” ดราม่าสตอรี่ที่สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับกีฬามวยปล้ำ นำแสดงโดย อาเมียร์ ข่าน ซึ่งทำเงินในปี 2017 ราว 196 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเรื่องล่าสุด “Secret Superstar” สามารถกวาดรายได้สูงถึง 407 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน ม.ค.ปี 2018 ที่ผ่านมา เทียบกับภาพยนตร์ของฮอลลีวูดเรื่อง “Warcraft” ที่สร้างรายได้ในตลาดจีนราว 433 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ นายเทียน กว่างเจียง ผู้ช่วยนักวิจัยจากสถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน (CASS) กล่าวว่า ไม่เพียงแค่ปัจจัยในด้านสงครามการค้าที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่พฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนก็เปลี่ยนไปมาก นักดูหนังในจีนเริ่มมีความหลากหลายในการเลือกชมภาพยนตร์จากต่างประเทศมากขึ้น

ดูได้จาก 10 อันดับแรกของภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงในตลาดจีนในปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์จากอินเดีย สเปน รวมถึงไทย เพิ่มเข้าไปในลิสต์ จากเดิมที่ฮอลลีวูดจะเป็นเจ้าแห่งธุรกิจนี้ ครองตลาดคู่กับภาพยนตร์ของจีน

นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Douban และ MTime เว็บไซต์จัดอันดับเรตติ้งของจีน แสดงให้เห็นว่า คอหนังในจีนเริ่มเบื่อภาพยนตร์ของฮอลลีวูด โดยเฉพาะแนวภาพยนตร์ที่สร้างเพื่อให้อเมริกาเป็นฮีโร่ สะท้อนจากการแสดงความคิดเห็นและเรตติ้งการให้คะแนนความน่าสนใจที่ลดลง เช่น ผู้หญิงชาวจีนวัย 24 ปี และวัย 26 ปี ที่แสดงความคิดเห็นว่า ภาพยนตร์ฮอลลีวูดผลิตเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน เน้นแอ็กชั่นที่โชว์ศักยภาพของอเมริกาในการปราบศัตรูรอบโลก ขณะที่ภาพยนตร์จากบอลลีวูดมีความหลากหลาย เป็นเรื่องราวใหม่ ๆ สำหรับคอหนังจีน ส่วนใหญ่สร้างจากเรื่องจริง และสะท้อนวัฒนธรรมและแนวคิดของคนอินเดียได้ดีกว่า

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญในวงการผลิตภาพยนตร์ของจีนมองว่า “ภาพยนตร์ของฮอลลีวูดยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของผู้ชมในจีน แต่คนจีนก็ต้องการดูอย่างอื่นที่หลากหลายขึ้น ขณะเดียวกัน เทคนิคการสร้างภาพยนตร์ของบอลลีวูดถูกพัฒนาไปไกลมาก และปัจจุบันได้รับการยอมรับจากหลายประเทศทั่วโลก เช่น ในไทย ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี สเปน ฟิจิ หรือแม้แต่รัสเซีย”