“แอปเปิล” กับตลาดเอเชีย โจทย์สำคัญที่ต้องตีให้แตก

สิ้นสุดการรอคอยอีกครั้งเมื่อ “แอปเปิล อิงก์” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ประจำปีนี้เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา โดยเปิดตัวไอโฟนใหม่ถึง 3 โมเดล พร้อมกับแอปเปิลวอตช์ โดยไอโฟนตัวใหม่นี้ นักวิเคราะห์ด้านไอทีมองว่า แอปเปิลเข็นเอาสเป็กแบบจัดหนัก ทั้งความสามารถในการกันน้ำ ขนาดหน้าจอ หน่วยประมวลผล กล้องถ่ายภาพแบบมืออาชีพ รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์มาจับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน แม้ว่าบรรดาผู้ใช้งานระบบแอนดรอยด์จะโต้กลับว่า บางอย่างคือสิ่งที่สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์พัฒนามาก่อนหน้านี้

ไอโฟนรุ่นใหม่ประกอบด้วย 3 รุ่น คือ iPhone Xr, iPhone Xs และ iPhone Xs Max ซึ่งจะเริ่มขายในปลายเดือนตุลาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 749 ดอลลาร์, 999 ดอลลาร์ และ 1,099 ดอลลาร์ตามลำดับ ในประเทศไทยยังไม่แจ้งวันเปิดตัว แต่มีกูรูไอทีไทยหลายเจ้าเคาะตัวเลขไว้ว่า น่าจะอยู่ที่ราคาระหว่าง 29,500-57,500 บาทเมื่อบวกภาษีแล้ว

สำหรับบางประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำสูง ตัวเลือกของไอโฟนในปีนี้น่าจะตอบโจทย์ แต่สำหรับบางประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำไม่สูงนัก และมีทางเลือกอื่นที่ดีและถูกกว่า แอปเปิลอาจจะไม่ใช่คำตอบ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ใน “เอเชีย”

ในปีนี้แอปเปิลไม่น่าจะเจาะตลาด “จีน” และ “อินเดีย” รวมถึงประเทศอื่นในเอเชียได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นตลาดที่แอปเปิลต้องการครอบครองเพราะยอดขายสมาร์ทโฟนโตเร็วที่สุดในโลก

กีรันจีท กัว นักวิเคราะห์จากไอดีซีให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นมันนี่ระบุว่า แอปเปิลเผชิญปัญหาไม่สามารถตีตลาดสำคัญของโลกได้ ขณะที่ตลาดที่ครองอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่

“ไม่แน่ว่าแอปเปิลจะทำตลาดกับโลกตะวันตกได้ดีหรือไม่ เพราะตลาดโตเต็มที่แล้ว น่าจะต้องรออีกสักพักจึงจะถึงไซเคิลที่จะซื้อมือถือเครื่องใหม่”

เทคโนฯจีนโค่นไอโฟน

อย่างไรก็ตาม ทวีปเอเชียเป็นโอกาส เพราะมีคนกว่าร้อยล้านคนที่ยังเข้าไม่ถึงสมาร์ทโฟน หรือยังไม่ได้ซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ทั้งนี้ ผลสำรวจจระบุว่า แอปเปิลครองสัดส่วนตลาดในอินเดียเพียง 2% เท่านั้น และ 8-10% ในจีน ในภูมิภาคดังกล่าว นอกจากจะมีค่าย “ซัมซุง” จากเกาหลีใต้ที่ครองตลาดมานานแล้ว แอปเปิลยังต้องต่อสู้กับค่ายสมาร์ทโฟนจีนที่พัฒนาโนว์ฮาวอย่างรวดเร็ว ทั้งหัวเว่ย ออปโป้ วีโว่ และเสี่ยวมี่

ที่น่าสนใจคือ ทั้ง 4 แบรนด์ข้างต้นคิดเป็นสัดส่วนตลาดร่วม 80% ของทั้งเอเชีย โดยหัวเว่ยได้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทสมาร์ทโฟนที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลกแทนที่แอปเปิลแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ “โม เจีย” นักวิเคราะห์จากคานาลิสต์ระบุว่า ก่อนหน้านี้แอปเปิลเคยทำตลาดในจีนได้ดีมาก แต่หลายปีมานี้ยอดขายของแอปเปิลในจีนลดลงเยอะ “การเร่งพัฒนาทุ่มทุนด้านเทคโนโลยีของบริษัทไอทีจีน ทำให้ตลาดมือถือไฮเอนด์จีนพลิกโฉมหน้าไปสิ้นเชิง”

“แพง” สำหรับชาวอินเดีย

ขณะที่ในตลาด “อินเดีย” ราคาของไอโฟนถือได้ว่าแพงมาก และเป็นความท้าทายที่แอปเปิลทะลวงตลาดไม่ได้เสียที ชาวอินเดียราว 800 ล้านคนเพิ่งเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่นานมา อย่างไรก็ตาม ราคา iPhone X ที่วางขายในอินเดียเมื่อต้นปีที่ก่อน ภายหลังจากโดนรัฐบาลนิวเดลีขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องตลาด ราคาสูงถึง 1,700 เหรียญสหรัฐ

ขณะที่ชาวอินเดียส่วนใหญ่มีรายได้น้อยกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐต่อปี แม้ว่าแอปเปิลจะลงทุนตั้งโรงงานที่บังคาลอร์แล้ว แต่โมเดล iPhone 8 และ iPhone X ยังนำเข้ามาจากต่างประเทศ

มือถือที่ชาวอินเดียส่วนใหญ่ใช้จึงเป็นค่าย “ซัมซุง” และ “เสี่ยวมี่” ซึ่งเพิ่งได้ขยายโรงงานผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่าเพื่อรองรับความต้องการ ขณะที่คนอินเดียที่ร่ำรวยส่วนมากใช้มือถือแบรนด์จีนที่ชื่อว่า “OnePlus” ราคาอยู่ระหว่าง 400-600 เหรียญสหรัฐ เป็นมือถือไฮเอนด์ที่ราคาย่อมเยากว่ารุ่นแฟลกชิปของซัมซุงและแอปเปิล

อย่างไรก็ตาม แอปเปิลได้ลดราคาโมเดลรุ่นเก่าลงเพื่อขายให้กับคนที่ไม่อยากจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อมือถือไอโฟน โดยนักวิเคราะห์มองว่า แม้จะเป็นทางเลือกที่ดีแต่แอปเปิลต้องหาช่องทางการขายในเอเชียให้ได้มากกว่านี้

“การเพิกเฉยตลาดเอเชีย ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลยสักนิด”กีรันจีท กัวกล่าว