“โจโกวี” รับศึกก่อนเลือกตั้ง “รูเปียห์ร่วง-ขาดดุลแฝด” พ่นพิษ

อินโดนีเซียกำลังมีปัญหา ทั้งเงินรูเปียห์อ่อนค่ารุนแรง ควบคู่กับการขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ “ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด” ในการกุมชัยชนะสมัยที่ 2 ในศึกเลือกตั้งในเดือนเมษายน ปี 2019

เว็บไซต์เอบีซีดอตเน็ต รายงานว่า “เควิน โอโรค” นักวิเคราะห์ด้านความเสี่ยงทางการเมืองจากวอชิงตัน ตั้งข้อสังเกตว่า ศึกการแข่งขันนี้จะไม่ใช่แค่เรื่อง “ศาสนา” หลังจากก่อนหน้านี้

ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด (โจโกวี) ถูกวิจารณ์ว่าเป็นมุสลิมสายกลาง จึงพยายามลบภาพลักษณ์ด้วยการเลือกผู้ลงชิงสมัครรองประธานาธิบดีเป็นนักการเมืองสายอนุรักษนิยม “มารุฟ อามิน” ประธานองค์กรนักการศาสนาขนาดใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดของอินโดนีเซีย

ขณะที่ นายปรากาช สักพัล นักวิเคราะห์จากบริษัทการเงิน ING ในสิงคโปร์ กล่าวว่า ประเด็นความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะกลายเป็นจุดอ่อนของผู้นำโจโกวี เพื่อเอาชนะผู้เข้าแข่งขัน โดยเฉพาะคู่ปรับเก่าอย่าง “พลโทปราโบโว ซูเบียนโต” ที่เคยพ่ายจากศึกเลือกตั้งครั้งก่อน ศึกนี้จึงเปรียบเป็น “ศึกแห่งศักดิ์ศรี”

“โจโกวี” ถูกยกย่องให้เป็นผู้นำที่ติดดิน และเรียกว่าเป็นความหวังใหม่ของชาวรากหญ้ามากที่สุดคนหนึ่ง แต่ปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าอาจทำให้คะแนนความนิยมของโจโกวีลดลง

“จาการ์ตาโพสต์” เผยว่าผลสำรวจของชาวอินโดนีเซียในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ พบว่า 33% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามกังวลเรื่องราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่ 23% ไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ภายในปีนี้

เนื่องจากอินโดนีเซียประสบปัญหาขาดดุลแฝด คือ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ทั้งมีแนวโน้มว่าปีนี้จะขาดดุลสูงสุดราว 3% ของจีดีพี ขณะที่ขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จากการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะข้าวที่ปีนี้นำเข้าแล้วกว่า 2 ล้านตัน

นางศรี มุลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีการคลังอินโดนีเซีย เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ว่า เตรียมปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้า 1,147 รายการ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (nonessential goods) เช่น กลุ่มเครื่องใช้ส่วนตัวที่ปรับภาษีขึ้นจาก 2.5% เป็น 10% ส่วนสินค้าลักเซอรี่ปรับขึ้นจาก 7.5% เป็น 10%

เป้าหมายเพื่อปรับสมดุลทางการค้าที่กำลังวิกฤต ซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริม 2 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยว และการผลิตเพื่อเพิ่มการส่งออกมากขึ้น

ขณะที่นายซูเบียนโตได้ตำหนิประธานาธิบดีโจโกวี เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เงินรูเปียห์ที่อ่อนค่าลง 9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สร้างความวิตกเพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางอินโดนีเซียก็ลดลงเกือบ 10% เพื่อใช้ในการพยุงค่าเงิน ตอกย้ำว่า “สถานการณ์ถือว่าแย่ที่สุดในประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เพราะรัฐบาลโจโกวีแก้ปัญหาแบบผิด ๆ”

นอกจากนี้ นายแมททิว บุช นักวิเคราะห์จากสถาบันโลวี ในนครซิดนีย์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่คือโจโกวีจะออกมาตรการตรึงราคาสินค้าอย่างไร เพราะค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนลงมีผลต่อราคาสินค้าให้แพงขึ้น สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ทั้งนี้ปลายเดือน ส.ค. โจโกวีได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี

สกอตต์ มอร์ริสัน แห่งออสเตรเลีย โดยกำหนดจะลงนามข้อตกลง FTA ปลายปีนี้ และมีการเจรจาเพิ่มการค้ากับเวียดนาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2020

“นับเป็นความพยายามของโจโกวีที่จะชดเชยผลเสียทางเศรษฐกิจ และปั่นผลงานก่อนการเลือกตั้งปีหน้า โดยหวังว่าวิกฤตเศรษฐกิจในอินโดนีเซียไม่น่าจะลุกลามเหมือนกับอาร์เจนตินา หรือตุรกี”