‘หัวเว่ย’ ป่วน ‘แอปเปิล’ เกมชิงลูกค้าพรีเมี่ยม

กลายเป็นกระแสฮือฮาต่อเนื่องกับวิธีการป่วนของ “หัวเว่ย” โดยเฉพาะในวันเปิดตัว iPhone XS
เมื่อสัปดาห์ก่อน ด้วยการจี้ปม “แอปเปิล” กับประเด็นความอึดของแบตเตอรี่ และแย่งซีนก่อนดีเดย์เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Huawei Mate 20 ที่กรุงลอนดอน 16 ตุลาคมนี้ด้วยกลยุทธ์ “viral marketing” เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้น

รายงานข่าวเกือบทุกสำนัก ระบุถึงวิธีการแย่งซีนของหัวเว่ยในทุก ๆ ความเคลื่อนไหวของ “แอปเปิล”
ที่กำลังเป็น talk of the town ก็คือ ในวันแรกของการเปิดจำหน่าย iPhone XS และ iPhone XS Max ในสิงคโปร์ ทีมงานของหัวเว่ยบุกแจก “พาวเวอร์แบงก์” แบบซูเปอร์ชาร์จจำนวน 200 ชิ้น มูลค่าชิ้นละ 80 ดอลลาร์สิงคโปร์ ให้แฟน ๆ ของแอปเปิลที่เข้าคิวเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมข้อความขำ ๆ บนกล่องของขวัญชิ้นนี้ว่า “คุณจำเป็นต้องใช้มันแน่”

ขณะที่ในกรุงลอนดอนหัวเว่ยเลือกวิธีการป่วนแอปเปิลด้วยการส่งรถตู้สีดำ ที่มีข้อความแปะว่า “Huawei Ju%ce Van” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เชิงการล้อเลียนเรื่อง “แหล่งเชื้อเพลิง” เพื่อมุ่งเล่นงานแอปเปิลในประเด็นของแบตเตอรี่ด้วยเช่นกัน โดยมีทีมงานที่คอยเสิร์ฟน้ำส้มให้กับผู้คนที่เดินผ่านบริเวณหน้าร้านแอปเปิลสโตร์

ที่น่าสนใจคือ ทวีตเตอร์ของ Huawei Mobile UK ได้ทวีตข้อความในช่วงเช้าของการเปิดตัวจำหน่ายไอโฟนรุ่นใหม่ พร้อมใจความว่า “เชิญพบกับรถตู้ของเราพร้อมเครื่องดื่มกระตุ้นสมอง (ที่ไม่ใช่น้ำแอปเปิล) เพื่อเติมพลัง” ทั้งยังทิ้งท้ายด้วยแฮชแท็กที่ว่า “HigherIntelligence is coming” หมายถึงอีเวนต์การเปิดตัว Huawei Mate 20 ที่กำลังจะมาถึง

เหตุการณ์ล้อเลียนเหล่านี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ทวีตเตอร์ของหัวเว่ย ในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และซานฟรานซิสโก พยายามเกาะกระแสการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ เพื่อโปรโมตสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เช่นเดียวกัน เช่น การทวีตขอบคุณที่ทำให้หัวเว่ยเป็นฮีโร่ของปี 2018 หรือคำแซวแรงที่ว่า “ไอโฟนรุ่นใหม่เหมือนเดิมทุกครั้งจนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อรุ่น” เป็นต้น

นักวิเคราะห์ด้านการตลาดกล่าวว่า หัวเว่ยกำลังใช้กลยุทธ์ viral marketing คือ การตลาดที่ใช้โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาท เพื่อกระตุ้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักหรือเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นให้กับผู้บริโภค ขณะที่แอปเปิลได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงมาก โดยเฉพาะในตลาดระดับพรีเมี่ยม ดังนั้น ปรากฏการณ์ปั่นป่วนของหัวเว่ยในทุกครั้ง จึงเชื่อมโยงกับการสร้างการ “รับรู้” ของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวได้ดีที่สุด

ทั้งนี้ ผลวิจัยของเคาน์เตอร์พอยต์รีเสิร์ช บริษัทวิจัยชั้นนำโลก ระบุว่า ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้แอปเปิลยังครองตลาดพรีเมี่ยมถึง 43% ส่วน หัวเว่ยสามารถจับตลาดนี้ได้เพียง 9% เท่านั้น เป็นนัยสำคัญว่าทำไมหัวเว่ย
ถึงติดตามพัฒนาการของแอปเปิล แทนที่จะเป็น “ซัมซุง” เจ้าแห่งตลาดสมาร์ทโฟนโลกที่ครองแชมป์มานาน

ทีมวิจัยระบุว่า เป้าหมายที่หัวเว่ยต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมน่าจะเห็นผลเร็ว ๆ นี้ หลังเปิดตัว Huawei Mate 20 หรือภายในปี 2019 โดยกลยุทธ์ที่ทำให้หัวเว่ยประสบความสำเร็จมาจากการทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิจัย ซึ่งทุ่มงบประมาณกว่า 10% ของยอดขายทุกปีให้กับการลงทุนด้าน R&D

ขณะที่รายงานของ EU Industrial R&D Investment Scoreboard ยกให้ “หัวเว่ย” เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีที่ใช้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนาสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ซึ่งมีพนักงานกว่า 80,000 คน ที่ทำงานเกี่ยวกับ R&D ในสถาบันวิจัยและพัฒนาทั้ง 21 แห่ง ใน 15 ประเทศทั่วโลก

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังให้ความสำคัญกับการสร้าง “ดีไซน์เซ็นเตอร์” เพื่อออกแบบตัวเครื่องให้เหมาะสมกับผู้ใช้ในทุกระดับ โดยปัจจุบันศูนย์นี้ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ลอนดอน และกรุงปารีส อีกทั้งยังมีศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีด้าน 5G ในเยอรมนีด้วย

ด้าน นายทารัน พาธัค รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเคาน์เตอร์พอยต์ มองว่า กลยุทธ์ของหัวเว่ยน่าสนใจ และมีอิทธิพลในตลาดสมาร์ทโฟนของโลก นอกจากที่แข่งขันกันในเรื่องนวัตกรรม ดีไซน์ ภาพลักษณ์ และคุณค่าของแบรนด์ คืออีกหนึ่งภารกิจใหญ่ที่พยายามตีให้แตก

ที่ผ่านมาหัวเว่ยพยายามสร้าง “ทางลัด” ให้กับแบรนด์ด้วยการจับมือกับแบรนด์ระดับโลก เช่น
ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปไลก้าจากเยอรมนี, “ฮาร์แมน คาร์ดอน” ผู้พัฒนานวัตกรรมระบบเสียงจากสหรัฐ ฯ และโปรโมตแบรนด์ด้วยการร่วมมือกับ “เฮนรี่ คาวิลล์” นักแสดงชื่อดังชาวอังกฤษ และ “สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน” นักแสดงระดับท็อปของอเมริกา ให้เป็นพรีเซ็นเตอร์เพิ่มความอินเตอร์ให้กับแบรนด์

รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯกล่าวว่า “หากหัวเว่ยประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ และสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมได้มากขึ้น เป้าหมายต่อไปน่าจะเป็นเจ้าแห่งสมาร์ทโฟนโลกแทนที่ซัมซุง ซึ่งเคยมีคนประเมินไว้ว่าภายในปี 2020 หรือ 2021 เป็นไปได้ที่หัวเว่ยจะโค่นบัลลังก์ซัมซุง”