เข็มทิศใหม่ “ซาอุดีอาระเบีย” จาก “บ่อน้ำมัน” สู่ “โซลาร์ฟาร์ม”

จากที่รัฐบาล “ซาอุดีอาระเบีย” ได้มีการลงนามความร่วมมือกับ “ซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป” ของญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพื่อร่วมพัฒนา “อภิโปรเจ็กต์โซลาร์ฟาร์ม” ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าถึง 200,000 ล้านดอลลาร์ และล่าสุด รัฐบาลริยาดเตรียมจะเปิดตัวรายละเอียดโครงการและแผนการลงทุน ในการประชุม “Investment in Riyadh” ที่จะมีขึ้นในปลายเดือนตุลาคมนี้

เดอะวอลล์สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย แถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ย้ำถึงวิสัยทัศน์ “ซาอุดีอาระเบีย 2030” โดยมีเป้าหมายที่จะก้าวข้ามอุตสาหกรรมน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีอื่น ๆ โดยตระหนักถึงเทรนด์การใช้น้ำมันที่ลดลง

โปรเจ็กต์โซลาร์ฟาร์ม รัฐบาลริยาดตั้งเป้าว่าจะพัฒนาโครงการให้มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และคาดว่าจะมีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 200 กิกะวัตต์ มากกว่าความต้องการของคนในประเทศถึง 3 เท่า และคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 12 ปีข้างหน้า นอกจากนี้จะช่วยให้เกิดการจ้างงานในประเทศมากถึง 100,000 ตำแหน่ง และยังจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงไปกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คำแถลงของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลริยาดกับทางซอฟต์แบงก์อยู่ระหว่างทำการศึกษาโครงการนี้ คาดว่าจะเปิดเผยอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคมนี้

ในช่วงเวลาที่มีการประชุมครั้งสำคัญ “Investment Conference in Riyadh” โดยปีนี้มีคอนเซ็ปต์มุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงของซาอุฯ สู่การเป็นเมืองเทคโนโลยีแห่งตะวันออกกลาง

“นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศผู้ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ของโลก ที่จะผันตัวเองสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกพลังงานโซลาร์ อาณาจักรแห่งนี้มีแสงอาทิตย์ที่สมบูรณ์ มีพื้นที่ขนาดมหึมาที่พร้อมใช้งาน ยิ่งกว่านั้นเรายังมีวิศวกรและแรงงานที่เก่ง” เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน กล่าว

การเบนเข็มจากการพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมัน และเริ่มมองหาโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ที่ยั่งยืนกว่า ปรากฏชัดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. รัฐบาลริยาดมีการประกาศเตรียมจะลงทุนร่วมกับ “อัลฟาเบต” บริษัทแม่ของ “กูเกิล” เพื่อสร้างศูนย์เทคโนโลยีขนาดใหญ่ในประเทศ เป็นพื้นที่เพื่อรับรองอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะ

และเมื่อต้นปี รัฐบาลได้ประกาศนโยบาย “White Oil” ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ให้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือใหม่ของริยาด ที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญในโลกตะวันออกกลางจากนิวยอร์กที่กล่าวไว้ว่า เจ้าชายแห่งซาอุฯพยายามพัฒนาประเทศสู่การเป็น “ดาวอสแห่งทะเลทราย” (Davos in the Desert) ซึ่งเมืองดาวอสในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนแห่งความพร้อมที่จะเป็นฮับในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่เทคโนโลยี รวมไปถึงการเป็นเวทีการประชุมสำคัญระดับโลกด้วย