วันที่ 19 พ.ย. ไชน่าเดลี่ รายงานความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่ยังระอุต่อเนื่อง เมื่อกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงโจมตีสหรัฐและว่าควรเลิกพฤติกรรมชี้นิ้วโทษประเทศอื่นได้แล้ว หลังจาก การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่กรุงพอร์ตมอ์รสบี ของปาปัวนิวกินี จบลงด้วยความล้มเหลว ผู้นำชาติสมาชิกทั้ง 21 ประเทศไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมกันได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 25 นับตั้งแต่เริ่มการประชุมเมื่อปี 2536 เนื่องจากสหรัฐและจีนมีความเห็นทางการค้าที่ขัดแย้งรุนแรง
น.ส.หัว ชุนอิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ระบุจากแถลงการณ์ว่า “เราขอแนะนำให้บางประเทศพูดเหมือนอย่างที่ทำ ไม่ใช่กระดิกนิ้วหาเรื่องคนอื่น ประเทศนี้ควรปฏิบัติต่อประเทศอื่นๆ อย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นประเทศเล็ก หรือใหญ่ ต้องเคารพในสิทธิการพัฒนาของของประเทศอื่นๆ ซึ่งแตกต่างกันออกไป และต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังกับประเทศกำลังพัฒนา”
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
โฆษกหญิงกล่าวอีกว่าสุนทรพจน์ของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์นโยบายอเมริกาต้องมาก่อนของสหรัฐว่าจะทำให้ประเทศที่คล้อยตามเดินเข้าสู่เส้นทางของความล้มเหลวนั้น เป็นความพยายามปกป้องตลาดการค้าทั้งในระดับสากล และภูมิภาค โดยคำนึงถึงหลักการเปิดตลาดการค้าที่เสรี การพัฒนาและการบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน
นอกจากนี้ยังตอบโต้ นายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งกล่าวต่อที่ประชุมโดยโจมตีโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีนว่าเป็นเส้นทางเลือกเดินแล้วกลับตัวไม่ได้ เพราะจะต้องเป็นหนี้ทางการเงินของจีน พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติหันมายืนเคียงข้างสหรัฐนั้น
น.ส.หัวกล่าวว่ายังไม่เคยมีสักประเทศที่เป็นหนี้จากการร่วมมือกับจีน ทุกประเทศมีการพัฒนาศักยภาพและกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น ดังนั้นการร่วมมือกับจีนจึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และประชาชนของประเทศนั้นๆ
ที่มา ข่าวสดออนไลน์