สัญญาณ “จีน-สหรัฐ” น่าวิตก หารือเวที G20 อาจไม่มีลุ้น

AFP PHOTO / WANG ZHAO

ผ่านไปแล้วกับการประชุม “เอเปก” ที่เพิ่งจบไปเมื่อ 17-18 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ปาปัวนิวกินี ปิดฉากด้วยความตึงเครียด กลายเป็นเวทีลับฝีปากระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ในประเด็นความขัดแย้งต่าง ๆ ระหว่างกันที่ยังคุกรุ่น

การประชุมเอเปกครั้งนี้ผิดแปลกไปจากทุก ๆ ปี เนื่องจากผู้นำจาก21 ประเทศและเขตเศรษฐกิจไม่สามารถออกแถลงการณ์สรุปได้เป็นครั้งแรก บีบีซีรายงานว่า สุนทรพจน์ทั้งของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีน และ “ไมค์ เพนซ์” รองประธานาธิบดีสหรัฐ นับเป็นการปะทะคารม และเป็นการส่งสัญญาณชัดว่า ความขัดแย้งระหว่างกันไม่น่าจะจบลงได้เร็ว ๆ นี้

โดยประธานาธิบดีสี กล่าวโจมตีนโยบาย “อเมริกามาก่อน” ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเป็นการกีดกันทางการค้าที่ชัดเจนและรุนแรงที่สุดเท่าที่เกิดขึ้น ทั้งอ้างถึงระบบการค้าสากลว่า ไม่ควรใช้วิธีเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น และเรียกร้องให้ประชาคมโลกช่วยกันปฏิเสธพฤติกรรมของสหรัฐ โดยระบุว่า เป็นการดำเนินนโยบายที่ขาดวิสัยทัศน์ และจะนำไปสู่ความผิดพลาดล้มเหลวมหาศาล

ฝั่งรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ตอบโต้จีนดุเดือดเช่นกัน โดยยกประเด็นโครงการเส้นทางสายไหมใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ของสี จิ้นผิง หรือ One Belt One Road ว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่อันตราย โดยเฉพาะการใช้วิธีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งทำให้ประเทศในเส้นทางสายไหมมีหนี้ก้อนโตตามมาด้วย และย้ำว่า “ความช่วยเหลือจากสหรัฐไม่เคยทำให้ประเทศใดมีหนี้สินมหาศาล”

นายไมค์ เพนซ์ ยังย้ำจุดยืนหนักแน่นว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่มีทางเป็นฝ่ายผ่อนคลายมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลปักกิ่ง ทั้งยังระบุว่า จากที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนไปแล้ว 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อไปอาจจะปรับขึ้นภาษีอีกเท่าตัว หากจีนยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม

นักวิเคราะห์ฝ่ายการเมืองโลกของดิ การ์เดียน รายงานว่า สัญญาณลบจากเวทีเอเปกครั้งนี้มีผลทำให้แผนการพบกันของ 2 ผู้นำจากสหรัฐและจีน ในการประชุม จี 20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในวันที่ 30 พ.ย. ถึง 1 ธ.ค.นี้ อาจล้มเหลวหรือการเจรจาไม่มีความคืบหน้า จากที่ก่อนหน้านี้คาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จะพบปะกันนอกรอบ และเป็นไปได้สูงว่าการหารือของสหรัฐและจีนในประเด็นขัดแย้งจะยังยืดเยื้ออีกนาน