ไทยเปิดตัว “E-visa” เริ่มใช้ใน “ปักกิ่ง” เมืองแรก 15 ก.พ. ปีหน้า

กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เปิดตัวระบบ e-Visa อำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างชาติในการยื่นขอรับการตรวจลงตรา หรือ “วีซ่า” ผ่านระบบออนไลน์ตั้งแต่การกรอกแบบฟอร์ม ยื่นเอกสาร พร้อมรับชำระค่าธรรมเนียมแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบของธนาคารกสิกรไทย

โดยระบบ e-visa ดังกล่าวสอดคล้องกับระบบที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานโลก โดยจะให้บริการที่แรกใน “กรุงปักกิ่ง” ประเทศจีน ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี 2019 ก่อนจะขยายไปเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศจีน โดยกำหนดจะเริ่มขยายในวันที่ 1 มีนาคม

ตามด้วยสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส จะเริ่มเปิดใช้ระบบ e-visa ในวันที่ 1 เมษายนปีหน้าด้วยเช่นกัน โดยมีเป้าหมายขยายสู่ทุกประเทศที่มีสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศทั่วโลก ภายใน 3 ปี

นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยว่า ในปี 2017 ประเทศไทยมีชาวต่างชาติยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศมากกว่า 8 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นการขอวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวประมาณ 85% และประเทศที่มีการขอวีซ่ามากที่สุด ได้แก่ “จีน”

ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการยื่นขอรับวีซ่า กรมการกงสุลในฐานะผู้ทำหน้าที่ตรวจลงตราคนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทย จึงได้พัฒนาระบบ Thai e-Visa ให้ชาวต่างชาติสามารถยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศไทยทุกประเภท ผ่านทางออนไลน์บนเว็บไซต์ www.thaievisa.go.th

บริการ Thai e-Visa ถือเป็นมิติใหม่ของการยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศไทย ซึ่งมีจุดเด่นสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความสะดวกรวดเร็ว นักท่องเที่ยวสามารถเริ่มต้นกระบวนการขอวีซ่าออนไลน์ด้วยตนเองตั้งแต่การกรอกแบบฟอร์ม ยื่นเอกสาร การชำระค่าธรรมเนียมแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบของธนาคารกสิกรไทย (E-Payment) และทำการนัดหมายวัน-เวลาที่สะดวกผ่านระบบเพื่อเดินทางไปยื่นหนังสือเดินทางที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่

2) สามารถใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยระบบออนไลน์ผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์

และ 3) ปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการชำระเงินที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยมาตรฐานโลก

นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางมาเมืองไทยเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ แล้ว บริการ Thai e-Visa ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่กงสุลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ทั้งนี้ อธิบดีกรมการกงสุล กล่าวเสริมว่า กรมการกงสุลมุ่งพัฒนาระบบตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ให้มีประสิทธิภาพเต็มรูปแบบ โดยในอนาคตการตรวจลงตราบางประเภทจะไม่จำเป็นต้องติดแผ่นปะลงในหนังสือเดินทาง แต่จะเป็นการแจ้งผลทางอีเมล์และส่งผลการตรวจลงตราไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองผ่านระบบเชื่อมโยงที่พัฒนาร่วมกัน พร้อมกับการนำระบบชีวมาตร หรือ biometric มาใช้ในการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล หรือการนำเทคโนโลยี Robotic Process Automation มาใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ขอวีซ่า เป็นต้น