“คอสตาริกา” สะเทือน “เดสติเนชั่นปลอดภัย” หลังนักท่องเที่ยวถูกฆาตรกรรม

ซีเอ็นเอ็น รายงาน เหตุฆาตรกรรมนักท่องเที่ยวชาวฟลอริด้าวัย 36 ปี ในคอสตาริกา สร้างความกังวลด้านการท่องเที่ยว ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเดสติเนชั่นที่ปลอดภัยที่สุดในอเมริกากลาง

คาร์ลา สเตฟาเนียค พลเมืองชาวสหรัฐวัย 36 ปี หายตัวไปราวเดือนที่ผ่านมาขณะพักผ่อนด้านนอกอพาร์ทเมนต์ในเมืองซาน โจส ถูกพบเป็นศพแล้วและได้รับการยืนยันโดยครอบครัวของเธอ โดยผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตรกรรมนี้คือ บิมาร์กค เอสปิโนซา มาร์ติเนซ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชายวัย 32 ปี ชาวคอสตาริกา ซึ่งทำงานที่เดียวกับที่สเตฟาเนียคพัก

คอสตาริกาไม่ใช่ประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องความรุนแรงอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ทว่าหลายปีมานี้ คอสตาริกามีอัตราการฆ่าตัวตายสูงอย่างก้าวกระโดดและจำนวนอาชญากรรมก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย

“อาชญากรรมในคอสตาริกากำลังเพิ่มขึ้นสูงและบ่อยครั้งที่เหยื่อเป็นชาวสหรัฐ” เว็บไซต์สถานทูตสหรัฐโพสต์ “พลเมืองชาวสหรัฐได้รับการเตือนอย่างเข้มงวดถึงอัตราความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้น”
เดือนสิงหาคม สองนักท่องเที่ยวชาวเม็กซิโกและสเปนถูกฆ่าที่ชายหาดในคอสตาริกา และมีรายงานข่าวบนเว็บไซต์

ข้อมูลด้านอาชญากรรมระบุว่า ปี 2017 คอสตาริกาทำลายสถิติอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดที่ 603 ราย ขณะที่ปี 2016 อยู่ที่ 578 ราย

เจ้าหน้าที่คอสตาริกาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า อัตราส่วนอาชญากรต่อประชากรอยู่ที่ราว 12.1 :100,000 ถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดย 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตมักถูกโยงเข้ากับปัญหายาเสพติด ซึ่งว่ากันว่าที่นี่เป็นจุดถ่ายเทโคเคนจากสหรัฐและยุโรป

แม้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐจะให้คำแนะนำด้านความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวสหรัฐที่จะไปเที่ยวยังคอสตาริกาไว้ใน “ระดับปกติ” แต่มีการเตือนให้ระมัดระวังเหตุรุนแรง เช่น การฆาตรกรรม การขโมย และการทำร้ายร่างกาย รวมทั้งแก๊งค์ค้ายาเสพติดซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจตรวจตราได้ไม่ทั่วถึง

“อาชญากรรมมักกระทำโดยกลุ่มคน แต่บางครั้งก็กระทำด้วยคนๆ เดียว อาชญากรรมส่วนมากปราศจากความรุนแรง แม้ว่าในระยะหลังมานี้มีแนวโน้มใช้ความรุนแรงมากขึ้น” สถานทูตสหรัฐ ระบุ