คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจ
โดย นงนุช สิงหเดชะ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขยับขึ้นไปอยู่ในช่วง 2.25-2.5% นับเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 4 ของปีนี้ และเป็นไปตามแผนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่กำหนดไว้ 4 ครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันตลาดหุ้นสหรัฐจะร่วงลงอย่างรุนแรง ประกอบกับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ออกมากดดันถี่ยิบไม่ต้องการให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม
เฟดให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคง เติบโตได้ดี จึงไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากเฟดอีกต่อไป ไม่ว่าจะในรูปของดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าปกติ หรือแม้กระทั่งการคงงบดุลไว้อย่างมหาศาล ดังนั้น นโยบายของเฟดจึงไม่จำเป็นต้องเกื้อหนุน เศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ถ้อยแถลงของเฟดครั้งนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะผ่อนคลายการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต เนื่องจากยังคงระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ยยังเป็นเรื่องเหมาะสม เพียงแต่มีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยว่า “การค่อย ๆ ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตจะสอดคล้องกับการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ สภาพตลาดแรงงาน รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้ 2% ตามเป้าหมายของเฟดในระยะกลาง”
ส่วนแผนการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า เฟดยังคงส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง และ 1 ครั้งในปีถัดไป พร้อมกันนี้ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีหน้าลงเล็กน้อยเหลือ 2.3% ปรับลดลง 0.2% ขณะที่อัตราการว่างงานปัจจุบันอยู่ที่ 3.7% ต่ำสุดในรอบ 49 ปี คาดว่าปีหน้าจะลดลงอีกเหลือ 3.5%
ชาร์ลี ริปลีย์ นักกลยุทธ์การลงทุนของ อัลไลแอนซ์ อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ ระบุว่า แม้ว่าในครั้งนี้ท่าทีของเฟดจะอ่อนลงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ผ่อนคลายมากพออย่างที่หลายคนต้องการ ซึ่งคงเป็นเรื่องยากสำหรับเฟดที่จะยกเลิกการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า แต่จะเห็นว่าเฟดแสดงถึงความยืดหยุ่นมากขึ้น
การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐในวันที่ 19 ธันวาคม ดิ่งลง 351.98 จุด หรือ 1.49% ปิดตลาดที่ 23,323.66 จุด ทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบปี เนื่องจากก่อนหน้านี้นักลงทุนบางส่วนคาดหวังว่าเฟดจะไม่ขยับลดดอกเบี้ยอีก เพราะตลาดหุ้นสหรัฐในวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม และจันทร์ที่ 17 ธันวาคมปรับลงอย่างรุนแรงจนทำให้เพียงแค่ 2 วันดังกล่าวดัชนีดิ่งลงกว่า 1,000 จุด เนื่องจากหลายปัจจัยผสมกัน ทั้งเรื่องปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ความกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว เป็นต้น
นักวิเคราะห์ระบุว่า แรงกดดันจากผู้นำสหรัฐไม่ได้ผล เพราะเฟดต้องแสดงความเป็นอิสระ ยิ่งกดดันเฟดก็จะทำตรงข้าม อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าเฟดรับฟังความกังวลของตลาดที่ส่งเสียงมาก่อนหน้านี้ ดังจะเห็นได้จากการปรับคำพูดบางอย่างในแถลงการณ์จากที่เคยใช้คำว่า “คาดหมาย” ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย เปลี่ยนมาเป็นการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต “มีความเหมาะสม” นอกจากนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ปีหน้าการขึ้นดอกเบี้ยอาจเหลือ 2 ครั้ง แทนที่จะเป็น 3 ครั้ง
บ็อบ โดล ผู้จัดการอาวุโสพอร์ตการลงทุนของนูวีนชี้ว่า นักลงทุนหลายคนหวังว่าหลังจากตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักและเข้าสู่โหมดการปรับฐานเพราะกังวลภาวะเศรษฐกิจโลก เฟดอาจใช้วิธีก้าวร้าวน้อยลงเพราะปกติเฟดมักเป็นมิตรกับตลาดหุ้น แต่ตอนนี้ค่อนข้างเป็นศัตรู
มาร์ก แฮเฟิล หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนของยูบีเอส โกลบอล เวลท์ แมเนจเมนต์ระบุว่า แม้ในครั้งนี้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย แต่เชื่อว่าในปีหน้าจะยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะหากดูจากประวัติศาสตร์จะเห็นว่าตลาดหุ้นมีผลต่อนโยบายของเฟด เช่นเดือนธันวาคม 2015 ในยุคของ นางเจเน็ต เยลเลน ได้เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพียง 2 เดือนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับลงมากที่สุดในรอบ 4 ปี
ผลปรากฏว่าตลาดหุ้นร่วงลงต่อเนื่องและปรับฐานลง 10% ทำให้เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไปอีก 1 ปี นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าเดือนมีนาคมปีหน้าเป็นไปได้ที่เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!