“เกษตร” สหรัฐอ่วม Polar Vortex ถล่มหนัก

ปรากฏการณ์ลมวนขั้วโลกเหนือ หรือ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” (polar vortex) ที่ซัดกระหน่ำหลายพื้นที่ในสหรัฐอเมริกากว่าหนึ่งสัปดาห์ ขณะนี้กำลังทำลายเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในการเกษตรและปศุสัตว์ ทำให้ธุรกิจหลายรายถูกแช่แข็งชั่วคราว

รายงานของ “รอยเตอร์ส” ระบุว่า หลายมลรัฐในสหรัฐ ตั้งแต่ภาคตะวันตกกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และพื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ประสบภัยหนาวรุนแรงนับตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา มวลอากาศเย็นจากขั้วโลกเหนือไหลลงมาทางตอนใต้มากกว่าปกติ โดยอุณหภูมิในสหรัฐในบางพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา วัดได้มากถึง -50 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ เกษตรกรหลายรายในรัฐนอร์ทดาโกตาและรัฐไอโอวา รัฐสำคัญในด้านเกษตรและปศุสัตว์ของสหรัฐ กล่าวว่ายังคงเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเย็น

ฟาร์มเลี้ยงหมูเกินกว่า 50% ไม่สามารถรับมือกับอุณหภูมิที่ลดลงต่ำฉับพลันได้ทัน หมูและไก่หลายร้อยตัวแข็งตายท่ามกลางพายุหิมะ เพราะเครื่องทำความร้อนในฟาร์มไม่เพียงพอ

ขณะที่บริษัท Cargill Inc ผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ของสหรัฐ ปิดโรงงานธัญพืชทั้งหมดในมิดเวสต์ เพราะสภาพอากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบมากที่สุดถึง -40 องศาเซลเซียส

ทั้งระบุด้วยว่า อาจปิดยาวเป็นสัปดาห์จนกว่าอุณหภูมิจะอุ่นขึ้น เพราะอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติส่งผลต่อคุณภาพของธัญพืช ส่วนบริษัท Archer-Daniels-Midland (ADM) ผู้ผลิตข้าวโพดรายใหญ่ในสหรัฐ กล่าวถึงต้นทุนจากการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพราะต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางขนส่งใหม่ ขณะที่โรงงานเก็บเมล็ดพืชในมิดเวสต์ต้องปิดลงชั่วคราว จนกว่าสภาพอากาศจะดีขึ้นเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ บริษัท Tyson Foods Inc จากรัฐอาร์คันซอ หนึ่งในบริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์รายใหญ่ ปิดโรงงานเนื้อหมู 2 แห่ง ในเมืองวอเตอร์ลู รัฐไอโอวา ส่วนบริษัท Hormel Foods Corp ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเนื้อแช่แข็ง ประกาศปิดไลน์ผลิตชั่วคราวในเมืองออสติน รัฐมินนิโซตา ซึ่งเป็นรัฐที่มีอุตสาหกรรมอาหารมากที่สุดรัฐหนึ่งในสหรัฐ

นายโจอี้ เมเยอร์ เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่งในรัฐนอร์ทดาโกตา กล่าวว่า ปรากฏการณ์โพลาร์วอร์เท็กซ์ กำลังทำให้เนื้อสัตว์และสินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้น เพราะสินค้าขาดตลาด แต่ปัญหาคือเกษตรกรไม่สามารถสนองดีมานด์ของผู้บริโภคได้ เพราะได้รับผลกระทบเช่นกัน ขณะที่ต้นทุนในการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายของเครื่องทำความร้อนหลายพันเครื่อง

รายงานระบุว่า ชิคาโกเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในสหรัฐ ขณะนี้ค่าใช้จ่ายด้านความร้อนเพิ่มขึ้น 6-7% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับปีก่อน ที่เพิ่มขึ้น 1-2%

ทีมวิจัยข้อมูลของ “Accuweather” หน่วยงานพยากรณ์อากาศในสหรัฐคาดการณ์ว่า ความเสียหายจากปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐถึง

14,000 ล้านดอลลาร์ เพราะกระทบในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การยกเลิกเที่ยวบิน รถไฟ รายได้ของธุรกิจบริการ รวมถึงสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ขณะที่ในทุก ๆ ปีเทศกาลวันปีใหม่ของจีน สหรัฐคือหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน แต่สภาพอากาศที่แปรปรวนหนักทำให้รายได้ส่วนนี้หายไป

นายโจ เมเยอร์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Accuweather กล่าวว่า ที่น่าห่วงคือการที่อุณหภูมิในหลายพื้นที่สูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงขึ้นฉับพลันกว่า 60 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ในตอนนี้ละลาย ถึงตอนนั้นหลายพื้นที่ของสหรัฐจะเกิดอุทกภัย และตามด้วยอุณหภูมิจะกลับมาลดลงต่ำอีกครั้ง ความแปรปรวนนี้จะเกิดขึ้นตลอดเดือน ก.พ.

“แมคคินเซย์ แอนด์ คอมพานี”

บริษัทให้คำปรึกษาชั้นนำกล่าวว่า นอกจากเศรษฐกิจของสหรัฐจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในช่วงการบริหารประเทศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะอยู่ในตำแหน่งอีก 2 ปีก่อนหมดวาระลง โดยเฉพาะการเกิดวิกฤตชัตดาวน์ และสงครามการค้ากับจีน สภาพอากาศเลวร้ายก็มีส่วนทำให้เศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ลงอีก

บทเรียนที่เคยได้รับจากปัญหาสภาพอากาศที่หนาวเย็นรุนแรง เคยเกิดขึ้นในสหรัฐแล้วในระหว่างปี 2013-2014 ซึ่งในตอนนั้นเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 2.1% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2014 แต่หากเทียบกับปรากฏการณ์โพลาร์วอร์เท็กซ์ในครั้งนี้ ยังไม่มีใครตอบได้ว่าผลของความเสียหายจะรุนแรงมากแค่ไหน