สภาผู้แทนราษฎรประเทศออสเตรเลียลงมติท่วมท้น เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ผ่านกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งเปิดทางให้ทางการออสเตรเลียสามารถสั่งปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล หรือจำคุกผู้บริหารบริษัทโซเชียลมีเดียได้สูงสุดถึง 3 ปี หากไม่ลบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับลัทธิสุดโต่งอย่างรวดเร็ว โดยการผ่านกฎหมายดังกล่าวซึ่งถูกนักกฎหมายบางส่วนวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ มีขึ้นหลังเกิดเหตุกราดยิงที่มัสยิดในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา
รายงานข่าวระบุว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลียลงคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น สนับสนุนกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการสื่อโซเชียลมีเดียที่ไม่ลบคลิปวิดีโอ หรือเนื้อหา ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ฆาตกรรม ทารุณกรรม ข่มขืน และลักพาตัว ในเวลาอันรวดเร็วเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้แพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊ก ยูทูบ อาจถูกปรับเงินเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามกฎหมายที่ระบุว่าจะเป็นเป็นเงินได้สูงสุดถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของผลประกอบการทั่วโลก รวมถึงสามารถตัดสินจำคุกผู้บริหารเป็นเวลาสูงสุด 3 ปี
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
สก็อตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ผู้ที่กำลังเผชิญการเลือกตั้งที่ยากลำบาก ระบุว่า บริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่มีความรับผิดชอบในการดำเนินการทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อทำให้แน่ใจว่าสินค้าเทคโนโลยีของพวกเขาจะไม่ถูกใช้ประโยชน์จากกลุ่มก่อการร้าย ขณะที่คริสเตียน พอร์เตอร์ อัยการสูงสุดออสเตรเลีย ระบุว่า กฎหมายดังกล่าวจะสามารถนำไปใจัดการกับแพลตฟอร์มของกลุ่มขวาจัดอย่าง 4Chan และ 8Chan เป็นต้น
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวซีแลนด์แถลงความคืบหน้าคดีกราดยิงที่มัสยิดในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 4 เมษายนโดยระบุว่า นายเบรนตัน ทาร์แรนต์ จำเลยชาวออสเตรเลียวัย 28 ปี ซึ่งถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม 1 กระทงความผิดไปแล้วก่อนหน้านี้ มีกำหนดขึ้นศาลในเมืองไครสต์เชิร์ช อีกครั้งในวันที่ 5 เมษายน โดยจะต้องเผชิญกับข้อหาฆาตกรรม 50 กระทงความผิด ข้อหาพยายามฆ่าอีก 39 กระทงความผิด และข้อหาเพิ่มเติมอื่นๆ โดยศาลจะพิจารณาว่าเหตุดังกล่าวเป็นเหตุก่อการร้ายหรือไม่