เทรนด์ฮิต “มหาเศรษฐีโลก” ลงขันตั้งกองทุนบูม “คลีน-เทค”

ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้นักลงทุนหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยอภิมหาเศรษฐีจากทั่วโลกอย่าง บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์, เจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้งอเมซอน และแจ็ก หม่า เจ้าของอาลีบาบา รวมถึงนักลงทุนอีกหลายรายร่วมกันลงทุนกว่าพันล้านดอลลาร์ ตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน หรือ “คลีน-เทค”

“ซีเอ็นบีซี” อ้างรายงานของ “International Energy Agency” ระบุว่าการลงทุนในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับความนิยมในหลายสิบปีก่อน

ขณะนี้กำลังเปลี่ยนไป เพราะเทรนด์รักษ์โลกกำลังเปลี่ยนทิศทางสู่ “ธุรกิจสีเขียว”

ธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลก และเหล่ามหาเศรษฐี สนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด ด้วยการเปิดตัวกองทุนBreakthrough Energy Ventures (BEV) มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์

กองทุน BEV ให้ความสำคัญกับโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่, การจัดเก็บพลังงาน, การผลิตไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพ และพลังงานด้วยปฏิกิริยาฟิวชั่น

ในปัจจุบันมี 14 บริษัทที่ได้รับเงินทุนจาก BEV ตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์ ไปจนถึง 20 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของธนาคาร UBS ของสวิตเซอร์แลนด์ระบุว่า แนวโน้มการขยายตัวของเมืองและจำนวนประชากรโลกเป็นหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนขึ้น

การลงทุนสะสมในพลังงานหมุนเวียน คาดว่าจะสูงกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีในปี 2050 ส่วนการลงทุนสะสมในการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีอากาศบริสุทธิ์ จะเพิ่มขึ้นถึง 35 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2030

“รามยา สวามินาธาน” ซีอีโอของ Malta Inc. บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า ซึ่งได้รับเงินลงทุนจาก BEV มูลค่า 26 ล้านดอลลาร์ กล่าวว่า ใน 10-15 ปีข้างหน้า น่าจะเป็นครั้งแรกที่พลังงานหมุนเวียนจะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าพลังงานคาร์บอนทำให้ภาคอุตสาหกรรมระดับโลกหันมาสนใจในการพัฒนาพลังงานสะอาดมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม “ราวิ มังกานิ” ผู้อำนวยการวิจัยของ Wood Mackenzie บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านพลังงานของอังกฤษ มองว่าการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีพลังหมุนเวียนไม่สามารถให้ผลตอบแทนในระยะสั้นได้ ทั้งมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลตอบแทนน้อย หากการวิจัยไม่สำเร็จ ทว่าอาจเป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาว และเชื่อว่าผลกำไรอาจจะขยายตัวขึ้นในอนาคต