บีบีซี รายงานว่า “พินเทอเรสต์” (Pinterest) บริษัทเจ้าของเครือข่ายออนไลน์ชื่อดังสำหรับแชร์ภาพและเรื่องราวต่าง ๆ มีมูลค่าของหุ้นพุ่งสูงมากกว่า 28% ในวันแรกของการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปที่ราว 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยราคาหุ้นเมื่อเปิดตลาดในนิวยอร์กอยู่ที่ 23.75 ดอลลาร์สหรัฐ จากราคาเดิมที่ตั้งไว้ 19 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น และปิดตัวลงที่ 24.40 ดอลลาร์สหรัฐ
พินเทอเรสต์ เป็นตัวอย่างของบริษัท “ยูนิคอนส์” (unicorns) หรือบริษัทสตาร์ตอัพที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป ซึ่งเป็นที่หมายตาของบรรดานักลงทุนจำนวนมาก
พินเทอเรสต์เป็นเว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถค้นหาหัวข้อต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องราวดีไอวายไปจนถึงทริปท่องเที่ยว ซึ่งผลการค้นหาจะแสดงออกมาในรูปแบบอินโฟกราฟิก
ผู้ใช้งานสามารถสร้าง “boards” ซึ่งเชื่อมโยงกับหัวข้อหรือธีม โดยเว็บไซต์จะมีการแนะนำผู้ใช้งานที่มีความสนใจใกล้เคียงกันเพื่อติดตามซึ่งกันและกันอีกด้วย เดิมบริษัทมีรายได้จากโฆษณาซึ่งจะอยู่ใน “pins” หรือโพสต์ที่ผู้ใช้งานอัพโหลดบนเว็บไซต์
การขาดทุนของพินเทอเรสต์ลดลงเหลือเพียง 62.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 2 ปีก่อนที่ขาดทุนถึง 181.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายได้จากปี 2017 ที่มีรายได้เพียง 298 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 755.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว
พินเทอเรสต์ระบุว่า รายได้ของบริษัทที่ขึ้นอยู่กับลงโฆษณาเป็นอันตรายต่อบริษัทอย่างมาก ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายในอนาคต เนื่องจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายและรักษาผลกำไรไว้ได้
การตัดสินใจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้ รวมถึงบริษัทอย่าง “อูเบอร์” (Uber) ที่ให้บริการด้านการขนส่งซึ่งประสบภาวะขาดทุน ก็เตรียมที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในเดือนหน้าเช่นเดียวกัน
ขณะที่ “ซูม วิดีโอ คอมมิวนิเคชั่น” (Zoom Video Communications) บริษัทที่ให้บริการวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์หรือการปะชุมผ่านเครือข่ายออนไลน์ที่ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ “แนสแด็ก” (Nasdaq) เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2019 ก็มีมูลค่าอยู่ที่ 62 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นตอนปิดตลาด เพิ่มขึ้น 72% จากราคาตั้งต้นที่ 36 ดอลลาร์สหรัฐ
แต่บริษัทคู่แข่งของอูเบอร์อย่าง “ลิฟต์” (Lyft) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยูนิคอนส์ที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วเมื่อต้นปี แต่ในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ลิฟต์มีราคาหุ้นอยู่ที่ 72 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งร่วงลงไปกว่า 22%
ยังมีอีกหลายบริษัทที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2019 อย่าง “แอร์บีเอ็นบี” (Airbnb) ซึ่งให้บริการแชร์บ้านพัก และ “วีเวิร์ค” (WeWork) ผู้ให้บริการแชร์พื้นที่นั่งทำงานร่วมกัน