ราคาน้ำมันพุ่ง หลังสหรัฐ บีบคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม

เมื่อวันที่ 22 เมษายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้น หลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจยกเลิกให้สิทธิพิเศษสำหรับ 8 ชาติในการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้ต่ออีก 6 เดือนหลังสหรัฐประกาศมาตรการแซงก์ชั่นอิหร่านไปเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการมาตรการปิดกั้นการส่งออกน้ำมันของอิหร่านของสหรัฐ เพื่อบีบให้อิหร่านเปิดการเจรจาว่าด้วยโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ใหม่ ซึ่งจะทำให้ประเทศอย่างจีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ตุรกี, อิตาลี และกรีซ ที่ยังสามารถนำเข้าน้ำมันดิบของอิหร่านได้จนถึงขณะนี้ ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป โดยหากฝ่าฝืนอาจเผชิญหน้ากับมาตรการแซงก์ชันจากสหรัฐอเมริกาโดยตรง

หลังการประกาศท่าทีนี้ของสหรัฐส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 65.39 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดลอนดอนส่งมอบเดือนมิถุนายน ปรับเพิ่มขึ้น 2.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 73.78 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดไปแล้วนับจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลังจากปรากฎข่าวที่ทางการสหรัฐจะดำเนินมาตรการปิดกั้นช่องทางการส่งออกน้ำมันของอิหร่านเพิ่มขึ้นดังกล่าวออกมาก่อนหน้านี้

นายปีเตอร์ เคียร์แนน นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของบริษัทวิจัยอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิท (อีไอยู) ระบุว่าการสูญเสียน้ำมันดิบจากอิหร่านจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อตลาดโลกสูงมากขึ้นในท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลลบต่อผู้ส่งออกรายอื่นอย่างเวเนซุเอลาและลิเบียอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดีทำเนียบขาวสหรัฐแถลงว่าซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะทดแทนปริมาณน้ำมันส่วนต่างที่ขาดหายไปเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ผันผวน

ทั้งนี้ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐเอมิเรตส์ เป็นชาติพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐที่สนับสนุนการดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่ออิหร่านที่เป็นชาติคู่ปรับของทั้งสองชาติในภูมิภาค

 

 

 


ที่มา มติชนออนไลน์