“สงครามการค้า” ยืดเยื้อ “ทรัมป์” ขู่รีดภาษีรอบใหม่

สงครามการค้าดูจะร้อนแรงอีกครั้ง จากที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ทวีตเมื่อคืนวันที่ 5 พ.ค. ส่งสัญญาณจะปรับขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีน มูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอัตราเดิม 10% เป็น 25% โดยเริ่มวันที่ 10 พ.ค. ทั้งขู่เพิ่มสำหรับสินค้าปลอดภาษีอื่น ๆ มูลค่า 325,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็เตรียมจะเก็บภาษีที่ 25% เร็ว ๆ นี้

ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐระบุว่า “การเจรจาการค้ากับจีนมีความคืบหน้าก็จริง แต่ยังช้าเกินไป พวกเขาพยายามที่จะยื่นข้อต่อรองใหม่”

บีบีซีรายงานว่า หากมีการใช้มาตรการดังกล่าว คาดว่าจะกระทบกับสินค้าที่ผลิตในจีนกว่า 5,000 รายการ เช่น เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ และสินค้าอุปโภคบริโภค

ทั้งนี้ ภายหลังการแสดงท่าทีดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ แม้หลายฝ่ายจะมองว่าเป็นเพียงคำขู่ แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมหาศาลต่อตลาดหุ้น ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง ปรับลด 3.7% “เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต” ก็ร่วงลง 5.3% ส่วนตลาดหุ้นของสหรัฐปรับตัวลดลงประมาณ 500 จุด

คำขู่ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ผู้แทนสองฝ่ายจะมีการเจรจารอบใหม่ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตามกำหนดการเดิมในวันที่ 8 พ.ค. ทำให้หลายฝ่ายมองว่า คำขู่ของผู้นำทรัมป์เป็นความพยายามที่จะกดดันรัฐบาลปักกิ่งให้บรรลุข้อตกลงโดยเร็ว รวมถึงต้องการสร้างคะแนนความนิยมทางการเมืองของตัวเอง

ขณะเดียวกัน รายงานของบีบีซีระบุด้วยว่า คำขู่ดังกล่าวสร้างแรงตึงเครียดครั้งใหม่ แทนที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในวันที่ 10 พ.ค. แต่หลังจากที่ทรัมป์ทวีตข้อความ รัฐบาลจีนก็ประกาศทบทวนการเจรจาสงครามการค้ารอบใหม่ทันที

โดยเจ้าหน้าที่ทางการของจีนกล่าวกับ “เดอะวอลล์สตรีต เจอร์นัล” ว่า จีนจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อกลยุทธ์กดดันเช่นนี้ และอาจยกเลิกการเดินทางไปเจรจารอบใหม่ โดยจะยังคงติดตามความเคลื่อนไหวจากฝั่งสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงการเจรจาภายใต้การข่มขู่นี้

“แชด โบวน์” นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สัน ชี้ว่า “เราไม่มีทางรู้ใจประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลย แต่เป็นไปได้ว่านี่เป็นเพียงการข่มขู่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาพยายามทำตัวให้ยากต่อการยอมรับข้อตกลง”

นอกจากนี้ คำขู่เรื่องมาตรการภาษีดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีการแจ้งการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีไปยังกลุ่มอุตสากรรมของสหรัฐก่อน ทั้งนี้ ผู้ที่ติดตามการเจรจาทางการค้ามาโดยตลอดชี้ว่า ที่ผ่านมาสหรัฐดำเนินการเชื่องช้าเพราะเกรงว่ากลุ่มอุตสาหกรรมต่างจะหาช่องทางในการเลี่ยงมาตรการดังกล่าว

เมื่อช่วงต้นปี 2019 “ทรัมป์” ข่มขู่ที่จะขึ้นภาษีหลายครั้ง แต่ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเปิดเจรจาอย่างต่อเนื่องกับจีน แม้ว่าจะมีความคืบหน้า และบรรเทาความตึงเครียดระหว่างกันได้บ้าง แต่ยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายพอใจได้

“เอสวาร์ ปราสาด” ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล และนักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันบรู๊กกิงส์ มองว่า การประกาศขึ้นภาษีครั้งนี้ ทำให้สหรัฐจำเป็นต้องแน่ใจว่าการจัดเก็บภาษีจะไม่นำไปสู่การต่อสู้ทางการค้ารอบใหม่ และหากจีนจะถอนตัวจากการเจรจา สหรัฐต้องมั่นใจว่าจะสามารถรักษาระดับอัตราภาษีที่กำหนดใหม่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมรับมือกับการตอบโต้ทางภาษีของจีนด้วย

รายงานของเดอะวอลล์สตรีต เจอร์นัล ระบุเพิ่มว่า มีความเป็นได้ที่จีนจะถอนตัวจากการเจรจาในครั้งนี้ เช่นเดียวกับเดือน ก.ย. ปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ประกาศเลื่อนการเดินทางเพื่อเจรจาการค้าที่วอชิงตัน หลังจากที่ผู้นำทรัมป์ขู่จะเดินหน้ามาตรการด้านภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การกระทำครั้งนั้นทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลง จนทำให้ต้องชะลอมาตรการภาษีออกไป และเปิดการเจรจาอีกครั้งในเดือน ธ.ค. 2018

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาว่า คำขู่ครั้งนี้จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่ แต่ไม่ว่าจีนจะมีปฏิกิริยาต่อคำขู่นี้อย่างไร สงครามการค้าก็ยังคงไม่มีทีท่าจะยุติลงโดยง่าย และอาจจะกลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง