สงครามภาษี-OBOR หนุนกระแส “บอลลีวูด” ในจีน

ความนิยมบริโภคภาพยนตร์จาก “ฮอลลีวูด” ในตลาดจีนเริ่มส่งสัญญาณลบตั้งแต่ปี 2017 ท่ามกลางปัญหาสงครามการค้าที่ยังส่อแววยืดเยื้อ นักวิเคราะห์มองว่า โครงการเส้นทางสายไหมใหม่ที่เชื่อมโลกหลายทวีป เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงจีน

“เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์” รายงานว่า “จีน” ตลาดภาพยนตร์ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ข้อมูลจาก “บอกซ์ออฟฟิศจีน” เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า รายได้บอกซ์ออฟฟิศ หรือ รายได้จากการจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ปี 2018 ในตลาดจีน อยู่ที่ 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับรายได้ในตลาดอเมริกัน อยู่ที่ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยภาพยนตร์ 10 อันดับแรกที่สร้างรายได้มากที่สุด ประจำปี 2018 เป็นภาพยนตร์จาก “บอลลีวูด” มากถึง 6 เรื่อง เทียบกับปี 2017 ที่ติดอันดับ 4 เรื่อง ส่วนภาพยนตร์จากฮอลลีวูดติดอันดับ 3 เรื่อง เทียบกับช่วง 3 ปีก่อนหน้าที่ติดอันดับมากกว่า 5 เรื่องขึ้นไป

ภาพยนตร์ของจีนติดอันดับท็อป 10 ปี 2018 มี 1 เรื่อง คือ “Wolf Warriors II” โกยรายได้ถล่มทลายทำเงินได้สูงถึง 521 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 10% จากรายได้ของบอกซ์ออฟฟิศจีน ซึ่งนอกจากจะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้สูงสุดในรอบ 10 ปี ยังได้รับเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2018 ประเภท “ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม” (Best Foreign Language Film)

สำหรับภาพยนตร์บอลลีวูดเรื่อง “Dangal” ทำรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในตลาดจีน เกือบ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ ภาพยนตร์เรื่อง “Secret Superstar” จากบอลลีวูดเช่นเดียวกัน สร้างรายได้ในจีนประมาณ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับภาพยนตร์จากฮอลลีวูดเรื่อง “Star Wars : The Last Jedi” ที่สร้างรายได้ในตลาดจีนน้อยกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทีมสำรวจของบอกซ์ออฟฟิศจีน กล่าวว่า ปี 2018 ส่วนแบ่งรายได้ของหนังฮอลลีวูดในจีนลดลงมาอยู่ที่ 40% จากที่เคยมีส่วนแบ่งมากกว่า 50% ขณะที่หนังบอลลีวูดคาดว่าจะมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 30% หรือมากกว่านั้น ภายในปี 2020 จากในปี 2018 อยู่ที่ 26%

“โจนาธาน ปาปิช” นักวิเคราะห์จากบอกซ์ออฟฟิศจีน กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2012 ที่รัฐบาลปักกิ่งเพิ่มโควตาการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศจาก 20 เรื่อง เป็น 34 เรื่อง ทั้งส่งสัญญาณจะเพิ่มโควตาภาพยนตร์ต่างประเทศสูงสุด 50 เรื่องในอนาคต เพื่อกระตุ้นการแข่งขันในอุตฯบันเทิงในจีน แสดงให้เห็นว่า “ภาพยนตร์จากฮอลลีวูดกำลังตกที่นั่งลำบาก เสี่ยงที่จะเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับบอลลีวูดในตลาดจีน”

ขณะเดียวกัน ปัจจัยความปั่นป่วนจากสงครามการค้าของสหรัฐ กำลังส่งผลกระทบในทางอ้อมมาถึงธุรกิจบันเทิง บวกกับคอนเทนต์ของภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่จำเจ ทำให้กลุ่มชาวจีนระดับบนที่เคยชื่นชอบภาพยนตร์จากฮอลลีวูด ตอนนี้เริ่มหันไปดูภาพยนตร์จากอินเดียมากขึ้น

นางหวา ชุนหยิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า ภาพยนตร์มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-อินเดียได้รับการพัฒนา ภาพยนตร์เรื่อง Dangal เป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจที่ดีมาก และแสดงถึงศักยภาพของระบบชาตินิยม และรัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณาแต่งตั้ง “อาเมียร์ ข่าน” นักแสดงนำในเรื่องดังกล่าวเป็น “แบรนด์แอมบาสซาเดอร์” เพื่อส่งเสริมสัมพันธ์ทางการค้าในจีน

“แรนซ์ พาว” ซีอีโอบริษัท Artisan Gateway ผู้ให้คำปรึกษาด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า โครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (One Belt One Road : OBOR) ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นความพยายามที่จะเชื่อมโลกซึ่งครอบคลุมถึง 3 ทวีป คือ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป มีนัยยะเกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในจีน เพราะรัฐบาลจีนมุ่งใช้ “อำนาจอ่อน” ในการเจรจาระหว่างประเทศ และ “ธุรกิจบันเทิง” เปรียบเสมือนหนึ่งใน “สินค้าการทูต” ซึ่งจีนเปิดโอกาสมากขึ้นสำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ

โดยตั้งแต่ปี 2017 ภาพยนตร์จากหลายประเทศเริ่มได้รับความนิยมในจีนมากขึ้น เช่น ภาพยนตร์จากสเปน เยอรมนี แม้กระทั่ง ภาพยนตร์จากไทยอย่างเรื่อง “ฉลาดเกมส์โกง” ที่ทำเงินสูงถึง 33.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ฉายได้เพียง 11 วัน