สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า “เหริน เจิ้งเฟย” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ “หัวเว่ย” บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ออกมาระบุว่า จะประท้วงหากรัฐบาลจีนใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐด้วยการแบนบริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน
โดยนายเหรินให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาเกี่ยวกับกระแสชาตินิยมในจีนในการแบนสินค้าของบริษัทแอปเปิล อิงก์ โดยระบุว่า แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาไม่เห็นด้วยหากมีมาตรการตอบบโต้ใด ๆ อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
นายเหรินกล่าวถึงมาตรการตอบโต้ของรัฐบาลจีนว่า “ประการแรกมันไม่ควรจะเกิดขึ้น ประการที่สองหากมันเกิดขึ้น ผมจะเป็นคนแรกที่ประท้วง”
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า “แอปเปิลเป็นบริษัทชั้นนำของโลก หากไม่มีแอปเปิล เราก็จะไม่มีอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ แอปเปิลเป็นครูของผมซึ่งก้าวหน้ากว่า ผมในฐานะนักเรียนทำไมจึงจะต่อต้านครู”
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐได้ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย ส่งผลให้หัวเว่ยไม่สามารถดำเนินธุรกิจกับบริษัทอเมริกันได้ และยังถูกยกเลิกการทำธุรกิจโดยบริษัทเทคโนโลยีหลายรายอย่าง “กูเกิล” และ “อาร์ม”
รวมถึงบริษัทของอังกฤษและญี่ปุ่นหลายรายก็ชะลอการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับ 5G ของหัวเว่ยออกไปอย่างไม่มีกำหนด
แม้หัวเว่ยจะเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่ตลาดผู้ซื้อสินค้าของหัวเว่ยแตกต่างจากแอปเปิลอย่างสินเชิง เนื่องจากตลาดใหญ่ของหัวเว่ยอยู่ในประเทศจีน โดยไตรมาสแรกของปีนี้หัวเว่ยมียอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนเกือบ 30 ล้านเครื่องเพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ขณะที่ยอดขายของผลิตภัณฑ์แอปเปิลในจีนลดลง 30% ในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่จีน ไต้หวันและฮ่องกงยังคงเป็นตลาดสำคัญของแอปเปิลมีสัดส่วนสูงถึง 18% ของยอดขาย ซึ่งสงครามการค้าอาจส่งผลให้แอปเปิลสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในจีนมากขึ้น
นายเหรินทิ้งท้ายว่า การใช้หัวเว่ยเป็นเครื่องมือในการต่อรอง “เป็นอภิมหาเรื่องตลก บริษัทของเราเกี่ยวข้องกับสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอย่างไรหรือ?”